รีวิว Spider-Man Far From Home
หลังสร้างปรากฎการณ์สุดไฮป์ให้เหล่าสาวกซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลกันไปแล้วจาก Avengers : Endgame ความคาดหวังกับ Spider-Man Far From Home ก็ย่อมสูงตามไปด้วย เนื่องจากมันถูกวางให้กลายเป็นหนังปิดเฟส 3 เพื่อปูทางไปสู่เฟส 4 หลายคำถามก็ถาโถมกับการมาของหนังเรื่องนี้ ทั้งสไปเดอร์แมนจะเป็นผู้นำอเวนเจอร์สคนต่อไปหรือไม่
หรือหลังเหตุการณ์ดีดนิ้วของธานอสจะกลายเป็นการมิติเวลาให้มาร์เวลได้นำซูเปอร์ฮีโร่ตัวอื่นๆ ที่เคยไปอยู่กับฟอกซ์มาร่วมใน MCU หรือไม่ ซึ่งก็เหมือนผู้สร้างอย่าง เควิน ไฟกี จะเข้าใจแฟนๆ ดีดังนั้นมันจึงนำมาสู่การคิดพลอตสำหรับปิดเฟส 3 นี้เพื่อให้ทุกคนตั้งตารอเฟสต่อไป ซึ่งในทางหนึ่งความเสี่ยงสำคัญคือหากมันไม่ได้ทำให้แฟนๆพอใจนัก มันก็จะลงเอยเป็นรอยด่างพร้อยสำหรับหนังปิดเฟส 3 เรื่องนี้ รีวิว Spider-Man Far From Home ดูหนังออนไลน์
เรื่องย่อ
โรงเรียนจัดทริปไปยุโรปทั้งที งานนี้ปีเตอร์ พาร์คเกอร์ (ทอม ฮอลแลนด์) กะขอพักภารกิจไอ้แมงมุมไว้ชั่วคราว แต่ทริปสุดโรแมนติกที่เขาวางแผนจะบอกความในใจกับ เอ็มเจ (เซนดายา) ก็มีอันพังครืนเมื่อเหล่าอสูรธาตุทั้ง 4 บุกทำลายเมืองสำคัญของโลกที่ซวยคือดันตามมาราวีเขากับเพื่อนๆ ซะอีกนี่ โชคยังดีที่เขาได้เจอกับ มิสทีรีโอ (เจค จิลเลนฮาล) ยอดมนุษย์จากเอิร์ธ 833 ที่อาสามาช่วยปีเตอร์ ตามคำเชิญของ นิค ฟิวรี (แซมมวล แอล แจ็คสัน) งานนี้นอกจากปีเตอร์จะต้องจำยอมมาสวมชุดสไปเดอร์แมนปกป้องโลกแล้ว เขายังต้องพิสูจน์ว่าตัวเองคู่ควรกับความไว้วางใจจากโทนี สตาร์คเพื่อเป็นผู้นำฮีโร่คนต่อไป
สิ่งที่เราพอจะบอกได้แบบไม่สปอยล์เนื้อหาสำคัญคือบทหนังมีลูกเล่นที่ดีประมาณหนึ่ง มันพยายามสานต่อและตั้งคำถามหลังการจากไปของโทนี สตาร์ค ใน Avengers : Endgame ว่าถ้าโลกไร้ผู้นำอย่างไอรอนแมนหรือการเปลี่ยนตัวกัปตันอเมริกาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น โดยที่ยังพยายามเล่าเรื่องไม่ให้เกินขอบเขตของการเป็นหนัง Spider-Man ซึ่งมันเลยไปเน้นความขัดแย้งภายในของตัวละครปีเตอร์ พาร์คเกอร์ที่เขารู้สึกว่าในขณะที่ตนอายุแค่ 16 ปีทำไมต้องมาแบกรับภารกิจกู้โลก
รวมถึงต่อให้ตัวเองเป็นซูเปอร์ฮีโร่เขาก็ไม่มั่นใจอยู่ดีว่าเอ็มเจจะชอบเขาหรือชอบสไปเดอร์แมนกันแน่ ดังนั้นมันจึงเล่นกับภาวะความไม่แน่ใจนี้ไปทั้งเรื่อง บวกกับการสร้างตัวละครอย่าง มิสทีริโอ ชายลึกลับผู้มาจากเอิร์ธ 833 (โลกของเหล่าอเวนเจอร์คือเอิร์ธ 616) ผู้มาพร้อมพลังมหาศาลมาต่อกรกับเหล่าอสูรกายจตุรธาตุ ยิ่งเห็นว่าคนมาใหม่เก่งแค่ไหนหลุมดำในใจของปีเตอร์ก็ยิ่งถ่างออกมากเท่านั้น และภาวะความลักลั่นยังไม่จบเพียงเท่านั้น หลังนิค ฟิวรี ยื่นแว่นอีดิธ (EDITH) ของโทนี่ สตาร์คให้ (โทนี่ตั้งชื่อแว่นจากประโยค Even [I’m] Dead I’m The superHero)
ก็ยิ่งทำให้เขาเกิดคำถามว่าตัวเองคู่ควรกับความไว้วางใจของโทนี่หรือไม่ ดังนั้นภารกิจหลักในหนังมันจึงเหมือนแบบทดสอบสุดหินให้ ปีเตอร์ ต้องเลือกคำตอบที่ถูกที่สุดในทุกข้อ แต่อย่าลืมนะครับว่าเขาเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งดังนั้นความสนุกจึงมาจากการที่ปีเตอร์เลือกข้อที่ผิด แล้วค่อยตามแก้ไขนี่แหละ ซึ่งถือเป็นการสะท้อนให้เห็นปัญหาของเด็กยุคมิลเลนเนียลได้อย่างเห็นภาพเลยว่าในขณะที่พวกเขาต้องการเป็นตัวเองก็กลับต้องมาแบกรับความคาดหวังของผู้ใหญ่จนหลายครั้งก็เลือกที่จะดื้อและเดินไปในทางที่ผิดบ้าง
ว่ากันถึงจุดที่ผมคิดว่ายิ่งเขียนยิ่งเสี่ยงสปอยล์มากๆ คือตัวผู้ร้าย เพราะถือว่าเป็นทั้งจุดที่ดีและจุดบอดของบทหนังอยู่เหมือนกัน โดยสิ่งที่เราพอจะบอกได้เกี่ยวกับผู้ร้ายหรือวิลเลียน (Villian) องค์ประกอบสำคัญสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร่ในภาคนี้ คือมันพยายามหักเหทิศทางการเล่าเรื่องให้ต่างจากฉบับคอมิค และปัญหาสำคัญคือสำหรับคนอ่านคอมิกคือการ “รู้ก่อน” หนังฉายแล้วว่าชื่อตัวละครตัวนี้คือใคร มีที่มาอย่างไร
และแม้ทางผู้สร้างจะพยายามหักเหให้มันต่างจากฉบับเดิมเพื่อสร้างเซอร์ไพรส์ ยังไงมันก็กลับมาลงล็อกให้คล้ายคอมิกเหมือนเดิมอยู่ดีและที่สำคัญการเปลี่ยนรายละเอียดแบบพลิกฝ่ามือก็เคยสร้างความขุ่นเคืองใจให้แฟนคอมิกมาแล้วจากหนึ่งในหนังจักรวาล MCU แต่ก็ต้องยอมรับว่าการ ‘ดัดแปลง’ ครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จในการให้มันกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับหนังสำหรับปิดเฟส3 และที่สำคัญมันยังสะท้อนถึงภัยร้ายที่มากับความเปลี่ยนแปลงของโลกได้ดีทีเดียว แม้ว่าจะแลกมาด้วยความสมเหตุสมผลของเรื่องแบบเลี้ยวหักศอกไปบ้างก็ตาม
อย่างไรก็ตามจุดแข็งสำคัญสำหรับหนัง Spider-Man รอบนี้คงเป็นการวางโทนคอเมดีจากผู้กำกับอย่าง จอน วัตส์ ที่แข็งแรงมากๆตั้งแต่ Spider-Man Homecoming (2017) ทั้งมุกที่ให้ตัวละครรอบตัวปีเตอร์ที่โรงเรียนอย่าง เนด ที่ได้ จาคอบ บาตาลอน มาปล่อยมุกฉบับเพื่อนตุ้ยนุ้ยสุดเนิร์ดที่คราวนี้ยิ่งได้โอกาสขโมยซีนหนักข้อเมื่อบทหนังให้เขาได้มีบทกุ๊กกิ๊กโรแมนติกกับ เบตตี ที่ยังได้ แองเกอเรีย ไรซ์ มารับบทลูกคุณหนูสุดแอ๊บ แถมเคมีเข้ากันแบบเจอหน้าทั้งคู่ทีไรเตรียมฮาได้เลย แถมในทริปยุโรปครั้งนี้ยังได้ตัวละครรุ่นครูอย่าง มิสเตอร์เบล รับบทโดย เจบี สมูฟ และมิสเตอร์แฮริงตัน รับบทโดย มาร์ติน สตารร์ มาคอยขโมยซีนด้วยบทครูที่ไม่อาจฝากผีฝากไข้อะไรได้เลยเรียกเสียงฮาไปหลายก๊ากอยู่
เสริมทัพด้วยซับพลอตแอบโรแมนติกระหว่างป้าเมย์คนสวย รับบทโดย มาริสา โทเมอิ กับ แฮปปี โฮแกน รับบทโดย จอน ฟาฟโร ที่ปีเตอร์แอบตะหงิดๆในความสัมพันธ์ทั้งคู่อยู่ นอกจากนี้หนังยังเต็มไปด้วยมุกตลกที่มาทั้งการใช้เพลง I will always love you ในฉากเปิดเรื่องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยก่อนหนังจะเฉลยและสร้างความฮาเปิดม่านแบบคนดูไม่ทันตั้งตัว เรียกง่ายๆว่าใครหวังมาคลายเครียดก็จะได้ความฮาเป็นของแถมควบคู่ไปกับฉากแอ็คชั่นแน่นอน
มาถึงนักแสดงนำอย่าง ทอม ฮอลแลนด์ ในภาคนี้เขาต้องแบกรับบทดราม่า ซึ่งก็ถือว่าทำได้ดีเลยเพราะเขาสามารถถ่ายทอดความเป็นปีเตอร์ พาร์คเกอร์ ที่คราวนี้ต้องแบกความคาดหวังจากโทนี สตาร์ค ที่เสมือนพ่อบุญธรรม แถมยังต้องตั้งคำถามกับบทบาทและที่ยืนของตัวเองทั้งในโลกซูเปอร์ฮีโร่และการเป็นเด็กไฮสคูลได้อย่างยอดเยี่ยม
และที่สาวๆ น่าจะเคลิ้มที่สุดก็เห็นจะเป็นอารมณ์โรแมนติกแอบเนิร์ดระหว่างเขากับ เอ็ม เจ ที่รับบทโดยสาวสวยหน้าเก๋ เซนดายา ที่เราต้องลุ้นตั้งแต่เปิดเรื่องยันฉากจบว่าทั้งคู่จะได้ลงเอยกันมั้ย จนหนังภาคนี้น่าจะถือได้ว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลที่มีกลิ่นอายของหนังวัยรุ่นตลกโรแมนติกยุค 90 ที่สุดแล้ว ซึ่งก็ถือว่าเป็นการขยายฐานสู่แฟนหนังสายหวานได้ดีเลยทีเดียว
เป็นหนังที่สืบจักรวาล Marvel ได้อย่างดีมากๆ สำหรับตัวผมมันมีความแปลกใหม่ ตัวบทตัวเนื้อเรื่องหลอกคนดูตั้งแต่ตัวอย่างหนัง ขนาดเข้าไปดูแล้วยังหลอกแล้วหลอกอีก หลอกฉากต่อฉาก รวมไปถึงฉาก End Credit ที่พีคที่สุดเท่าที่เคยดูมา ยอมรับใจคนที่ดำเนินหรือครีเอทีฟจักรวาล Marvel จริงๆ หลังจากจบ Avenger ก็ไม่คิดว่า
เรื่องนี้จะน่าสนใจอะไร จนมาดูจึงรู้ว่าคิดผิด เพราะ Spider Man Far from home นี่มันดีมากๆ จริงๆ และมันยิ่งใหญ่มากๆ เมื่อได้ดูในระบบ Imax ฉากและภาพสวยมากจริงๆ
เมื่อเข้าไปดูในระบบ IMAX ยอมรับว่าภาพสวยมากกกกกกกกกกก!!! ไม่เสียใจเลยที่ไปดู ส่วน 3D ก็ดีมากฉากมีมิติทุกฉาก (หนังบางเรื่องภาพก็จะไม่ได้มีมิติมากนัก) ฉากทุกฉากสวยหมด สวยจนอยากบอกให้ทุกคนมาดูในระบบนี้ ฉากเที่ยวคือสวยมากเหมือนกับเราไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นเลย ฉากสู้ก็อลังการมากในระบบนี้ ยังไงก็อยากให้ทุกคนไปดูในระบบนี้ครับ เพราะเรื่องนี้ทำมาให้ดูใน IMAX จริงๆ
ส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้คือ ตัวบทและเนื้อเรื่องครับ ด้วยหนังฮีโร่ เราก็จะเจอแต่เนื้อเรื่องเดิมๆ ซ้ำซาก แต่เรื่องนี้ต่างออกไป คือหลอกเราตั้งแต่ตอนดูตัวอย่างหนังแล้ว พอมาดูหนังก็ยังหลอกแล้วหลอกอีก หลอกจน End Credit คือไม่เคยเจอหนังฮีโร่ที่ทำให้เราเซอร์ไพร์สได้เยอะขนาดนี้ ดูจบแล้วรู้สึกอิ่มใจมาก มันดีมากจริงๆครับ จากภาคแรกที่รู้สึกธรรมดามากๆ แต่ภาคนี้มันดีเกินไปจริงๆ ครับ
และด้วยหนังมีโทนน่ารักขบขัน แต่ทุกฉากแฝงความเคร่งเครียดไว้เสมอ ทำให้ทุกคนดูสนุกไม่ตึงจนเกินไป และนักแสดงที่ชอบมากๆคือ Zendaya ที่แสดงเป็น MJ แสดงดีมาก เท่มาก คือเหมาะกับพระเอกเรามากจริงๆ เคมีเข้ากันพอดี
สรุป
โดยภาพรวมถือว่า Spider-Man Far From Home ยังคงรักษามาตรฐานหนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลไว้ได้อย่างเหนียวแน่นในแง่ของความบันเทิงควบคู่กับมาตรฐานโปรดักชัน โดยนอกจาก บทภาพยนตร์ งานกำกับและการแสดงแล้ว อีกจุดไฮไลต์คงหนีไม่พ้นงานประพันธ์สกอร์ของ ไมเคิล กีแอคชีโน ที่ยังคงจับบรรยากาศของสถานที่ต่างๆในยุโรปใส่มาให้เราฟังแบบแทบจะเหมือนเดินเที่ยวกับตัวละครได้เลย
ควบคู่ไปกับงานกำกับภาพของ แมตธิว เจ ลอยด์ ที่เลือกใช้กล้องเรือธงล่าสุดของ RED อย่าง RED RANGER 8K VV ที่ให้ภาพคมชัด จับคอนทราสต์ได้กริบมาก ยิ่งผนวกกับการถ่ายซีนสำคัญตามสถานที่ต่างๆในยุโรปยิ่งน่าหลงไหล โดยเฉพาะซีนกลางคืนที่ต้องบอกว่าหนังถ่ายได้สวยมากครับ เอาล่ะรีวิวมาขนาดนี้ เลี่ยงสปอยล์ขนาดนี้ คงไม่พลาดกันแล้วล่ะเนอะ เว็บดูหนัง
ปล. มีฉากหลังเอนด์เครดิต 2 ฉากนะครับ มีความสำคัญกับเรื่องราวในเฟสต่อไปแน่นอน
Comments