รีวิว The Quake - มหาวิบัติวันถล่มโลก
ภาคต่อของ The Wave หนังสัญชาตินอร์เวย์ ที่เข้าฉายบ้านเราไปเมื่อปี 2559 ในชื่อ “มหาวิบัติ สึนามิถล่มโลก” เป็นหนังเชิดหน้าชูตาของประเทศนอร์เวย์ ที่แสดงศักยภาพให้โลกเห็นว่าอุตสาหกรรมหนังบ้านเค้า รุดหน้าไปไกล โดยเฉพาะงานภาพซีจีที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเทียบเท่าฮอลลีวู้ดเลยก็ว่าได้ ในงบประมาณที่ใช้ไปแค่ 6 ล้านเหรียญเท่านั้น และ The Wave ยังได้ทำหน้าที่เป็นหนังตัวแทนของนอร์เวย์ ไปเข้าชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ต่างประเทศอีกด้วย ด้วยความสำเร็จของ The Wave เลยส่งให้ผู้กำกับ รอร์ ยูทวก ได้มีอนาคตในฮอลลีวู้ด แล้วได้รับมอบหมายงานสำคัญด้วยการเป็นผู้รับผิดชอบการรีบู๊ด Tomb Raider เวอร์ชั่นอลิเซีย วิกันเดอร์ ก่อนที่หนังจะคว่ำทั้งรายได้และเสียงตอบรับ จนเป็นการปิดประตูแฟรนไชส์ไปเสียตั้งแต่ภาคแรก เช่นเดียวกับอนาคตของ รอร์ ยูทวก ที่ไม่มีงานต่อนับจาก Tomb Raider อีกแลย รีวิว The Quake
เรื่องย่อ
ผ่านมา 4 ปี ทีมงานผู้สร้าง The Wave ตัดสินใจเข็นภาคต่อในชื่อ The Quake แต่รอ รอร์ ยูทวก ผู้กำกับเดิมที่ติดงานกำกับ Tomb Raider อยู่ในขณะนั้น ก็เลยเปลี่ยนผู้กำกับใหม่เป็น จอห์น แอนเดรีย แอนเดอร์สัน ผู้กำกับภาพมือเก๋าของนอร์เวย์ ที่เพิ่งชิมลางงานกำกับมาไม่กี่เรื่อง หนังดำเนินเรื่องต่อจากเหตุการณ์ในภาคแรก 3 ปีให้หลัง คริสเตียน พระเอกของเรื่องได้แยกทางกับภรรยาและลูก ๆ เขายังคงปักหลักอยู่ในไกแรงเกอร์ สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังของนอร์เวย์
และเป็นสถานที่เกิดเหตุสึนามิถล่มในภาคแรก คริสเตียนเริ่มรู้สึกถึงเหตุไม่ชอบมาพากลเมื่อเพื่อนร่วมงานของเขาเสียชีวิตขณะเข้าไปสำรวจอะไรบางอย่างในอุโมงค์ คริสเตียนตัดสินใจเดินทางไปออสโลเมืองหลวงของนอร์เวย์ และสานต่องานค้นคว้าของเพื่อน จนพบว่าออสโลกำลังจะเผชิญแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เขารีบไปหาหัวหน้าให้เตรียมรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ แต่หัวหน้ากลับไม่เชื่อ คริสเตียนจึงตัดสินใจตามหาลูกและภรรยาเพื่อเอาชีวิตรอดจากภัยแผ่นดินไหวครั้งนี้
หนังยาวเพียง 106 นาที แต่หนังอ้อยอิ่งอยู่เกือบครึ่งเรื่อง กับการปูความตัวละครหลัก ให้เราเห็นสภาพจิตของคริสเตียน ที่อยู่ในสภาพอมทุกข์หลังแยกทางกับครอบครัว และยังไม่ลืมความน่ากลัวของมหาภัยสึนามิเมื่อ 3 ปีก่อน หลายคนที่ซื้อตั๋วเพื่อตั้งใจมาดูฉากภัยพิบัติคงจะอึดอัดหงุดหงิดพอประมาณ หรืออาจจะหลับไปก่อน เพราะกว่าที่จะเห็นความอลหม่านก็ผ่านไปเกือบชั่วโมง ฉากแผ่นดินไหวโจมตีกรุงออสโลมีให้เห็นประมาณ 10 วินาที เป็นภาพที่เราเห็นไปแล้วในตัวอย่างหนัง ทำได้เนียนสมจริงแต่ก็มีแค่นั้นแหละ มีเพิ่มเติมจากนั้นก็เป็นภาพตึกระฟ้าถล่มมาทับกัน จากเดิมที่เข้าใจว่าหนังจะเล่าเรื่องราวหายนะแผ่นดินไหวในมุมกว้าง แต่เอาเข้าจริงหนังกลับลดขอบเขตของเรื่องราวอยู่แค่การเอาชีวิตรอดในตึกระฟ้า
แม้ว่าฉากระทึกจะมาช้า แต่พอดูหนังสดมาก็จัดเต็มแบบไม่ให้พักว่ากันยาว ๆ ไป กับการเล่าวีรกรรมของคริสเตียน และมาริต ลูกสาวของเพื่อนคริสเตียนที่ตายไป ต้องมาผจญภัยร่วมกันบนตึกระฟ้าที่กำลังจะถล่มหลังเผชิญเหตุแผ่นดินไหว คริสเตียนต้องช่วยเมียและลูกสาวออกจากตึกให้ได้ก่อนตึกถล่ม หนังใส่ฉากระทึกยาว ๆ 2 ฉากต่อกัน ฉากช่วยเมียในปล่องลิฟต์ และฉากช่วยลูกสาวจากยอดตึกที่เอียง 45 องศา ทั้ง 2 ฉากบอกได้เลย ลุ้นระทึกกันตีนจิกตลอดทุกนาทีที่เดินหน้าไป
ทีมงานคิดสถานการณ์ต่าง ๆ นานาออกมาแกล้งครอบครัวนี้ได้อย่างน่าสงสาร ดูหนังผ่านเน็ตหยิบข้าวของรอบข้างมาใช้ประโยชน์ได้หมด ในลิฟต์นี่ก็ต้องลุ้นกับตัวลิฟต์ที่จะร่วงลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ สายสลิงที่แกว่งไปมา ลูกตุ้มน้ำหนักถ่วงลิฟต์ที่หล่นฟิ่วมาอย่างน่ากลัว ฉากยอดตึกเอียงนี่ก็ต้องลุ้นกับการเอาชีวิตรอดกับชีวิตที่แขวนไว้บนซากปรักหักพังที่ค่อย ๆ หักโค่นไปทุกนาที ต้องหาที่ยึดเกาะไม่ให้ตัวเองร่วงไป แล้วก็ยังต้องหลบบรรดาโต๊ะเก้าอี้ที่ไหลเทไปตามแรงดึงดูด หนังก๊อปฉากตัวละครเคราะห์ร้าย ร่วงไปบนแผ่นกระจก ที่ค่อย ๆ แตกเปรี๊ยะ ๆ ฉากดังจาก Jurassic Park : The Lost World แม้ถูกลอกเลียนก็ยังชวนลุ้นอยู่ดี
The Quake คือเหตุการณ์เล่าต่อจากภาคแรกหลายปีต่อมา ซึ่งในจุดนี้ถ้าใครดูภาคแรกมาแล้วก็จะช่วยให้เข้าใจภาคสองตอนต้นๆ ได้นิดหน่อย ในความเป็นจริงไม่จำเป็นต้องดูภาคแรกด้วยซ้ำ เพราะในภาคนี้ได้บอกกล่าวเล่าถึงให้เราเข้าใจได้นิดหน่อย โดยในภาคนี้เหมือนจะซวยอีกครั้งเมื่อครอบครัวพระเอกต้องมาเจอกับเหตุการณ์มหันตภัยร้ายแรงอีกครั้ง แต่ในคราวนี้ไม่ใช่สึนามิ มันคือแผ่นดินไหว
ถ้าใครคาดหวังจะได้เห็นความวิบัติแบบหนังมหันตภัยต่างๆ แบบ The Day After Tomorrow, 2012 หรือ San Andreas คงจะต้องผิดหวังกันสักหน่อย เพราะภาพความรุนแรงหรือฉากภัยพิบัติในเรื่องนี้นั้นมีแค่น้อยนิด 1-2 ฉาก เหมือนที่เห็นในตัวอย่างเท่านั้นจริงๆ เกินครึ่งเรื่องแรกหนังจะอารัมภบทถึงชีวิต ความดราม่า ของตัวพระเอกหลังจากเกิดเหตุการณ์สึนามิในภาคแรก
ความวิตกกังวล ปัญหาครอบครัว ซึ่งเอาจริงๆ มันน่าเบื่อกว่าภาคแรกเยอะมากในพาร์ทนี้ บวกกับหลากหลายเหตุการณ์ที่เข้าใจยากกว่าภาคแรก แถมยังมีตัวละครใหม่ๆ โผล่มาแบบไม่จำเป็นต้องมีก็ได้มั้ง ถ้าใครทนความน่าเบื่อของเกินครึ่งแรกมาได้ ก็จะได้พบกับฉากภัยพิบัติเสียที (เย้~) แต่ก็อย่างที่บอกไป มันมาแปบเดียวจริงๆ นะ
แต่ก็ดูน่ากลัวอลังกาลใช่เล่น ยิ่งใหญ่วินาศสันตโรกันทั้งเมือง CG นี่จัดเต็มอลังกาลงานสร้างสุดๆ ในใจตอนนั้นแอบดีใจ คิดแล้วว่ามันต้องเป็นสเกลที่กว้างกว่าภาคแรกแน่ๆ แต่สุดท้ายแล้วมันกลับเล่าเรื่องราวการเอาชีวิตรอดของพระเอกและครอบครัวในตึกๆ เดียวเท่านั้น ถึงแม้มันจะเล่าในตึกๆ เดียว ตลอดครึ่งหลังมันก็มีฉากให้เราลุ้นอย่างไม่หยุดหย่อน ในส่วนนี้คิดว่าทำได้ดีกว่าภาคแรกนะ ลุ้นกว่า ตื่นเต้นกว่า (แต่โดยรวมภาคแรกดูดีกว่านะ)
ในขณะที่ครึ่งหลังกำลังตื่นเต้น เหมือนกำลังทำได้ดี หนังกลับตัดจบแบบ “อ้าว! เห้ย จบละหรอ แค่นี้หรอ?” แล้วตัวละครอื่นๆ ก็ไม่พูดถึงตัดจบซะดื้อๆ อีกทั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันยังไม่ชัดเจน อะไรเป็นอะไรก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ หนังก็ปล่อยจบดื้อๆ ซะอย่างนั้น
สรุป
โดยรวมแล้วหนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกแบบ คุณนั่งเครื่องเล่นรถไฟเหาะ ที่เกินกว่าครึ่งของเครื่องเล่นนี้เป็นทางตรงไม่ลุ้น ไม่ตื่นเต้น ไม่หวาดเสียว แล้วจู่ๆ ก็มีรางเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา โค้งนู่นนี่นั่น อย่างเมามันเพียงชั่วครู่ แล้วก็จบ! พร้อมอุทานเบาๆ “อ้าว เห้ย”
ก็ค่อนข้างผิดคาดครับ กับหน้าหนังที่คิดว่าจะเล่าเรื่องราวแผ่นดินไหวในมุมกว้าง แต่สุดท้ายก็เป็นการผจญภัยเอาชีวิตรอดในซากตึก แม้จะเล่าเรื่องราวในขอบเขตที่แคบลง แต่ก็ต้องบอกว่า 30 นาทีท้ายของเรื่องทำได้ลุ้น ตื่นเต้นได้ทุกนาที จะว่าไปกินป๊อปคอร์นแล้วนอนรอลุ้นฉากไคลแมกซ์ท้ายเรื่องก็รู้เรื่องนะ ไม่พลาดขาดใจความสำคัญตรงไหนไปหรอก
Commentaires