รีวิว Shazam - ชาแซม
เรื่องที่เหลือเชื่อมากอย่างหนึ่งคือชื่อเดิมของ Shazam! ฉบับคอมิกคือ Captain Marvel ก่อนที่สำนักพิมพ์เดิมจะปิดตัวและกว่าดีซีจะไปซื้อลิขสิทธิ์มาได้ก็ถูกปู่สแตน ลี ชิงตัดหน้าทำคอมิก Captain Marvel ไปก่อนจนต้องเปลี่ยนชื่อเป็น Shazam! อย่างที่เห็น ซึ่งฉบับภาพยนตร์ก็ดันฉายไล่เลี่ยกันเสียด้วยจนเหมือนนัดกันมาแข่งอีกรอบแหนะ ฮ่าาาา และเซอร์ไพรส์อีกต่อที่ ดีซี ไปยืมตัวเดวิด เอฟ แซนด์เบิร์ก ผู้กำกับหนังสยองทั้ง Light Out และ Annabelle Creation มากำกับหนังซูเปอร์ฮีโร่สายฮาเรื่องนี้ ซึ่งเขาก็พิสูจน์ฝีมือได้ยิ่งกว่าสอบผ่าน เพราะสามารถเอาหนังฮีโร่โทนเบาสมองที่มีปมครอบครัวเป็นแกนกลางได้อย่างลงตัว ทั้งสนุก ฮาเป็นบ้าเป็นหลัง ที่สำคัญคือปมดราม่ากันครอบครัวทำได้หนักแน่นจนเราอดอมยิ้มไปกับเรื่องราวและปมความสัมพันธ์ในครอบครัวอุปถัมภ์ได้เอ็นจอยไม่แพ้ความมันส์ของศึกพลังเวทย์ในเรื่องเลย ซึ่งก็คงต้องชมทีมเขียนบททั้ง เฮนรี เกย์เดน และ แดเรน แลมเก้ ที่สามารถผสมผสานดราม่าครอบครัวกับหนังแนวซูเปอร์ฮีโร่เบาสมองได้อย่างกลมกล่อม รีวิว Shazam
เรื่องย่อ
บิลลี แบตสัน (แอชเชอร์ แองเจิล) หนุ่มน้อยวัย15 หวังจะตามหาแม่ที่แท้จริง จนได้ลงเอยกับครอบครัวมิลานที่อุปการะเด็กหลากเชื้อชาติไว้มากมาย แต่หลังจากเขาช่วยเหลือ เฟรดดี้ (แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์)เพื่อนร่วมชายคา เขาก็ได้รับพลังวิเศษจากพ่อมดชาแซม (ดไจมอน ฮอนซู) จนกลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ร่างผู้ใหญ่ (แซคคารี เลวี) แต่ในขณะที่เขากำลังค้นหาพลังวิเศษตัวเอง แธเดียส (มาร์ค สตรอง) กลับกำลังตามหาบิลลีเพื่อหวังจะครอบครองพลังยิ่งใหญ่ของเขา งานนี้ บิลลี่ จะค้นพบพลังอันยิ่งใหญ่ของตัวเองได้ทันการณ์หรือไม่ ต้องติดตาม…
“แยกกันอยู่เราดี รวมกันทีมีพัง!” เหมือนกับว่าทาง DC จะเหมาะสมกับประโยคนี้จริงๆ พิสูจน์ได้จากหนังรวมตัวฮีโร่ที่ผ่านๆ มา ไม่ว่าจะเป็น Batman v Superman เอย หรือแม้กระทั่งหัวใหญ่อย่าง Justice League เอย ก็พังไม่เป็นท่า แต่พอมา Aquaman ต้องบอกเลยว่าดังเปรี้ยงปร้างถล่มทลาย และแล้วก็ถึงคราวหนังฮีโร่เดี่ยวอีกหนึ่งคนจาก DC อย่าง Shazam! ที่น่าสนใจและน่าหวาดหวั่นไปพร้อมๆ กัน เพราะโดนตัดทุนสร้างไปพอสมควร
ด้วยความที่ Shazam! เป็นตัวละครที่ไม่เคยปรากฏในหนังมาก่อน และไม่ได้โด่งดังในไทยขนาดนั้น นอกจากแฟนบอยของคอมิกส์ต่างๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงมองว่ามันค่อนข้างที่จะอิสระ เป็นตัวละครใหม่ แต่ความยากคือ จะทำให้ยังไงให้คนเข้าถึงและอินกับตัวละครนี้ จริงๆ เด็กคงจะอินกับตัวละครนี้ได้ไม่ยาก เพราะ Shazam ก็เป็นเด็ก แค่ทำความดี และได้รับพลังวิเศษจากพ่อมด แค่ตะโกนว่า Shazam แล้วก็กลายเป็นฮีโร่แล้ว ด้วยโครงเรื่องแบบนี้ มันดีมากเลยนะ เข้าถึงง่าย เข้าใจง่าย พ่อแม่พาลูกไปดูก็สามารถสอนลูกหลานให้เป็นคนดีได้จากฮีโร่เรื่องนี้เลย
ตอนที่เห็นตัวอย่างเราก็รู้แล้วแหละว่ามันจะต้องเป็นหนังฮีโร่แบบตลกโปกฮาแน่นอน แต่พอได้ดูมันมีอะไรมากกว่านั้น มันเป็นหนังฮีโร่แบบ coming-of-age เรื่องนึงเลยแหละ เราได้เห็นการพัฒนาของตัวละครตัวนี้ได้โอเคในระดับนึง ที่พอจะทำให้เราได้เข้าใจตัวละครอย่าง Billy มีการสอดแทรกประเด็นดราม่าครอบครัวเข้ามาบ้างเล็กน้อย ซึ่งเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือมันดูไม่ยัดเยียด ไม่ฝืน แต่ข้อเสียคือมันกลายเป็นว่า Sub Plot ตรงนี้มันเบาบางเกินไป เลยไม่ได้รู้สึกอิมแพคหรืออินกับประเด็นครอบครัวในหนังสักเท่าไหร่
โดยหนัง HDพูดถึงปมครอบครัวได้อย่างน่าสนใจ โดยฉากเปิดหนังนำเสนอเหตุการณ์ที่บอกถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวหนึ่งคือ ครอบครัวของแธด หรือ แธเดียสที่ไม่เคยมีใครในครอบครัวเห็นหัวและยิ่งถูกปฏิเสธการถ่ายทอดพลังชาแซมก็ยิ่งเป็นเชื้อไฟแค้นชั้นดีที่ทำให้เขาดำเนินแผนชั่วในเวลาต่อมาเพื่อหวังเอาพลังอำนาจมาถมช่องว่างในใจตนเอง ส่วนบิลลี แบตสัน หนังให้เรารู้จักเขาจากพฤติกรรมสุดแสบแต่พอเราได้เห็นเรื่องราวเบื้องหลังความขบถ ความดื้อดึงต่างๆมาจากปมที่ตนพลัดหลงกับแม่ในวัยเด็ก จนต้องออกตามหาแม่ เพื่อที่ว่าตนจะได้มีครอบครัวจริงๆ โดยไม่รู้เลยว่าเขาได้มีโอกาสเจอบ้านและครอบครัวที่แท้จริงแล้ว
ซึ่งการมาอยู่บ้านของครอบครัวมิลานก็ยิ่งทำให้ความหมายของครอบครัวดูใหญ่โตและมีความเป็นมหภาคมากขึ้นเพราะเด็กที่อุปการะมีตั้งแต่เด็กละติน เด็กเอเซีย เด็กสาวผิวสี ไปจนเด็กพิการอย่างเฟรดดี้ แถมพ่อแม่บุญธรรมก็ยังเป็นคนละเชื้อสายกันอีก เรียกได้ว่าคำว่าครอบครัวสำหรับบ้านนี้อาจหมายถึงสหรัฐอเมริกาโดยนัยยะก็มิปาน
โดยตัวหนังมีจุดที่น่าสนใจสำหรับคอหนังแบบไม่ต้องเป็นแฟนดีซีก็พอเข้าใจ คือหนังพยายามยกฮีโร่ดังของค่ายอย่าง แบทแมน และ ซูเปอร์แมน มาพูดถึงแทบทั้งเรื่อง มองเผินเราอาจเห็นแค่การเกาะกระแสฮีโร่เซเลปของค่าย แต่คิดดูดีๆ เฮ้ย จุดร่วมของทั้งแบทแมน ซูเปอร์แมน และ ชาแซม คือเริ่มจากการเป็นพวกหนีครอบครัว หรือ มีปมครอบครัวอันปวดร้าว
จนกระทั่งได้เจอครอบครัวใหม่ที่ตนเองอาจกังขาจนพยายามหนีอยู่ตลอด แต่เอาเข้าจริงเมื่อขึ้นชื่อว่าครอบครัวแล้ว มันก็ต้องอยู่สู้กันไปจนถึงที่สุด โดยเว็บสตรีมหนังใส่ฉากเอามือประสานกันบนโต๊ะอาหารที่ดูผ่านๆแทบคิดไม่ถึงเลยว่าต่อมามันจะมีความสำคัญกับเรื่องอย่างไร จนกระทั่งหนังเฉลยนี่แหละแทบกรี๊ดเลย และโดยปริยายมันก็ทำให้ Shazam! หลุดพ้นการเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่เราได้แต่ดูพระเอกโชว์ความเก่งปราบปรามผู้ร้าย ทีละน้อยเรากลับสัมผัสได้ถึงความอ่อนไหวเรื่องครอบครัวของบิลลี่และมันยังทำให้ความหมายของพลังที่แท้จริงของหนังทั้งลึกซึ้ง อบอุ่นหัวใจ และแน่นอนเจ๋งเป็นบ้าเลย
และคนที่ทำให้ชาแซมมีชีวิตได้ก็คงหนีไม่พ้น แซคคารี เลวี ดาราหนุ่มจาก CHUCK ซีรีส์ตลกสุดดัง ซึ่งเลวี ก็รับบทเด็กในร่างผู้ใหญ่ได้อย่างมีเสน่ห์ทั้งตลกทั้งเท่จนน่าจะแจ้งเกิดในฐานะดาราหนังซูเปอร์ฮีโร่ได้ไม่ยาก ส่วนนักแสดงเด็กๆในเรื่องก็ชวนให้หลงรักจริงๆ สาวๆอาจหลงหน้าหล่อๆของ แอชเชอร์ แองเจิล หรือ อยากกอด แจ๊ค ดีแลน เกรเซอร์ ซึ่งรับส่งบทกันอย่างลงตัว ส่วนบรรดาน้องๆหนูๆในบ้านอุปถัมภ์ก็น่ารักเหลือเกิน และยังมีเซอร์ไพรส์ที่เราบอกไม่ได้ แต่ที่แน่ๆคอซีรีส์เน็ตฟลิกซ์สาวๆมีกรี๊ดแน่นอนตอนไคลแมกซ์ของเรื่อง ฮ่าาาาา.
ความรู้สึก
ส่วนที่สนุกของหนังไม่ใช่ฉากแอ็คชั่น เพราะแอ็คชั่นในเรื่องนี้คือส่วนประกอบเล็กๆ จริงๆ น้อยกว่า DC เรื่องอื่นๆ มาก หากไปคาดหวังว่าจะได้เห็นอย่างซัดกันใน Man of Steel หรือ Aquaman อาจจะผิดหวังสักหน่อย แอ็คชั่นในเรื่องนี้ให้ไม่ถึง 10% ของหนังเลยอะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้หนังสนุกน้อยลงแต่อย่างใด เพราะจุดขายของหนังมันสนุกตรงการได้เห็นพัฒนาการตัวละครกับมุกตลกเนี่ยแหละ ที่ใส่มาอย่างจัดเต็มมาก มีการแอบแซะฮีโร่ค่ายตัวเองบ้างประปราย จังหวะในการเล่นมุกต่างๆ คือบันเทิง ฮาเลยทีเดียว
ต้องชมนักแสดงในเรื่องนี้แต่ละคนด้วย ที่แสดงออกมาได้ดีเลยทีเดียว ทำให้หนังมันตลกเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะ Zachary Levi ที่ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก การเล่นหูเล่นตา แอ็คติ้งต่างๆ ฮาจริงๆ พยายามทำตัวให้เหมือนเด็กคนหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ปัญหาที่เห็นชัดๆ เลยคือ หนังไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่า Billy Batson และ Shazam คือคนเดียวกัน เพราะบุคลิกมันดูต่างกันสุดขั้ว เราไม่เห็นความเป็น Shazam ใน Billy และเช่นเดียวกัน เราไม่เห็นความเป็น Billy ในตัว Shazam ซึ่งถือเป็นจุดด้อยที่ใหญ่มากๆ สำหรับเรา
Shazam! ถูกวางไว้จะทำเป็นไตรภาค และแน่นอนว่าภาคแรกก็เหมือนเป็นการปูเรื่องให้เราได้รู้จักกับตัวละครตัวนี้อย่างคร่าวๆ และมันทำออกมาในระดับที่น่าพอใจ ถ้าใครหาหนังฮีโร่ๆ เบาสมอง ไม่ดาร์ค ไม่คิดเยอะ เข้าไปฮาอย่างเดียว เราว่า Shazam! ตอบโจทย์เลยแหละ โดยรวมแล้วมันก็ยังสู้ Aquaman ไม่ได้อยู่ดี แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับ Shazam! เลยแหละ
สรุป
Shazam! เป็นหนังฮีโร่ที่ใช้ทุนสร้างไม่เยอะ แต่คุณภาพได้มาเกินทุนสร้าง ทั้งตัวบท งานวิชวลอะไรก็ทำออกมาได้ดี และยังทำหน้าที่แนะนำตัวละครฮีโร่ผู้ใหญ่หัวใจเด็กคนนี้ให้กับผู้ชมได้รู้จักได้อย่างดีเยี่ยม คือถ้าคุณเป็นคอหนังฮีโร่ และยิ่งถ้าชื่นชอบในค่าย DC ยังไงก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง
สำหรับใครที่ไปคิดจะไปดู ชาแซม ขอเตือนเลยว่าหนังมีเซอร์ไพรส์เยอะมาก ที่สำคัญมี ฉากกลางเครดิต และ ท้ายเครดิตจ้า แถมดีงามทั้งสองตัวเลย ดังนั้นอย่าดื่มน้ำเยอะนะจ๊ะ เตือนแล้ว!
ปล. หนังมีเพลงประกอบที่ยอดเยี่ยมด้วยในหลายๆ จังหวะ แต่ที่พีคคือช่วงที่ทดสอบพลังของ Shazam ใช้เพลง Don’t Stop Me Now ของวง Queen ด้วย! โคตรเพลิน โคตรน่าประทับใจ
ปล. 2 หนังมีฉาก "หลัง" เครดิต 2 ตัวนะ แล้วในฉาก "ระหว่าง" Mid Credit ที่เป็นรายชื่อทีมงานนักแสดงกับฉากหลังการ์ตูน ทำออกมาได้ฮาพอสมควร จิกกัดค่ายตัวเองอีกต่างหาก 555
Comments