รีวิว Sex Education Season 2 - ชีวิตวัยรุ่นไม่เคยง่าย
Sex Education คือซีรีส์จากอังกฤษของ Netflix ที่ประสบความสำเร็จอย่างดงามในซีซันแรกจนได้ไปต่อ และการกลับมาในครั้งนี้ เนื้อหานั้นเข้มข้นและมีความดรามามากกว่าเดิม โดยทันทีที่ลงใน Netflix ก็ปลุกกระแส #นอนเช้า และ #รวดเดียวจบ กลับมาอีกครั้ง แล้วถ้าถามว่ามันน่าติดตามขนาดต้องดูรวดเดียวจบเลยไหม ส่วนตัวก็ต้องตอบตามจริงว่า “ไม่” แต่ถ้าใครไหวก็ซัดไปเลยค่ะ รีวิว Sex Education Season 2
เรื่องย่อ
เรื่องราวก็จะต่อจากซีซั่นแรกโดยเริ่มจากการเปิดเทอมใหม่ ที่จะนำมาทั้งปัญหาและความวุ่นวาย บวกกับความดราม่าเข้มข้นให้กับทุกตัวละครหลักของเรื่อง เช่นความสัมพันธ์ของโอล่า และโอทิสที่กำลังไปได้สวย ส่วนทางด้านเมฟและโอล่า ความสัมพันธ์จากซีซั่นแรก ก็จะยิ่งสับสนในภาคนี้ และแม่นักบำบัดทางเพศของโอทิส ก็ดันเข้ามามีบทบาทในการปรับปรุงเรื่องเพศศึกษาในรั้วโรงเรียนของเขาอีกด้วย
การขยายสเกลเรื่องราวให้ใหญ่ขึ้นในซีซั่นสอง เขาได้เพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาหลายตัว รวมถึงจดการความสัมพันธ์ของตัวละครเก่าที่ไขว้กันไปมาได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเอริค ที่ซีซั่นนี้มีหนุ่มหน้าใสสุดฮอตเข้ามาจีบ แต่เขาก็ดันไปมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคนที่ Bully เขามาหลายปีอย่าง อดัม ขอบอกเลยว่าตัวละครอดัมนี่ อาจจะกลายเป็น สตีฟ แฮร์ริงตันในเวอร์ชั่น Sex Education ก็ได้ เพราะเขามีพัฒนาการตัวละครที่น่าสนใจมาก อีกตัวหนึ่งในเรื่องที่เริ่มจาก เด็กเกเร ชอบแกล้งคนอื่น วางมาดใหญ่โต แต่กลับกลายเป็นว่าที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะปมปัญหาบางอย่างทางครอบครัว จนค่อยๆ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
ในซีซัน 2 นี้ มีการสอดแทรกเนื้อหาหนัก ๆ มาอย่างชาญฉลาด ผ่านความสัมพันธ์และการกระทำของตัวละคร โดยทุก ๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องมีที่มาที่ไปอย่างชัดเจน ทำให้ตัวละครมีความสมจริงมากขึ้น ดูมีเลือดเนื้อ ดูเข้าถึงได้ง่าย และในซีซันนี้ที่ต้องขอชื่นชม ผู้เขียนบทอย่าง ลอรี นันน์ ที่มีการกระจายบทอย่างดี ซึ่งนอกจากจะทำให้ทุกตัวละครไม่หล่นหายแล้ว ยังมีพื้นที่ให้ตัวละครใหม่ ๆ ได้ออกมาสร้างสีสันให้กับเนื้อเรื่องได้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นด้วย
Sex Education ซีซัน 2 เปิดเรื่องด้วยปัญหาความล้าหลังของหลักสูตรวิชาเพศศึกษาที่สอนกันอยู่ในโรงเรียนมัธยมศึกษามัวร์เดล จนนำไปสู่ปัญหาต่าง ๆ ภายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น กามโรค สุขภาวะทางเพศ เป็นต้น โดยการกระทำต่าง ๆ ของตัวละครภายในเรื่องล้วนสะท้อนให้เห็นว่าการเรียนรู้วิชาเพศศึกษาที่ถูกต้องนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก โดยเฉพาะหลักสูตรที่ควรถูกเขียนด้วยความเข้าใจ ไม่ใช่ความเขินอายในเรื่องเพศ
โอทิส มิลเบิร์น (เอซา บัตเตอร์ฟีลด์) ถึงคราวต้องกลับมาเปิด ‘คลินิก’ อีกครั้ง เมื่อโรคหนองในเทียมเกิดระบาดในโรงเรียน โดยนักเรียนทุกคน ไม่เว้นแม้แต่อาจารย์ ก็ยังต้องการคำแนะนำจากเขา ในขณะที่ธุรกิจเหมือนจะไปได้สวย จีน มิลเบิร์น (จิลเลียน แอนเดอร์สัน) แม่ของโอทิสและนักบำบัดเรื่องเซ็กซ์ ก็ได้ก้าวเข้ามาสู่โรงเรียนเพื่อช่วยปรับปรุงหลักสูตรวิชาเพศศึกษาให้ทันสมัยมากขึ้น (ใครจะไปคิดว่าแม่ของคุณจะมาสอนเรื่องเซ็กซ์ในโรงเรียน!)
แค่ปัญหานี้อย่างเดียว เราก็จะได้เห็นหนัง HDการแสดงอันเข้มข้นของ เอซา บัตเตอร์ฟีลด์ ที่ต้องฟาดฟันกับ จิลเลียน แอนเดอร์สัน ในการแสดงออกถึงความว้าวุ่นของการเป็นวัยรุ่นที่ต้องการการยอมรับ และผู้ปกครองที่ต้องการให้ความช่วยเหลือลูก ๆ อย่างใกล้ชิด ไหนจะต้องผสมโรงกับการที่แม่มีแฟนใหม่ที่เป็นพ่อของแฟนเขาเองอีก! (โอ๊ย มันจะวุ่นวายไปไหน) ในซีซันนี้ เราจึงได้เห็นบทบาทของโอทิสที่ใจร้อนมากขึ้น แสดงออกทางอารมณ์มากขึ้น จนท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็จะได้ค้นพบว่า ตัวของโอทิสเองก็มีปัญหาอะไรบางอย่างเหมือนกัน
เมฟ ไวลีย์ (เอ็มมา แมคคีย์) สาวเท่ผมสีชมพูที่กลับมาขโมยหัวใจของเราอีกครั้ง (ที่คราวนี้มาในลุคผมสีธรรมชาติ) โดยเธอยอมร่วมตกลงทำ ‘คลินิก’ กับโอทิสอีกครั้ง แม้จะทำไปโดยไม่เต็มใจนัก (แต่ก็เพื่อเงินเท่านั้นนะ!) ซึ่งตรงจุดนี้สามารถสัมผัสได้ว่าเมฟของเรายังคง #MoveOn เป็นวงกลมอยู่นั่นเอง ส่วนจะวนเป็นวงกลมนานแค่ไหนนั้น ต้องติดตามในซีรีส์ค่ะ เพราะคราวนี้โอทิสนั้นมีแฟนสาวอยู่แล้วคือ โอลา นิมแมน (แพทริเซีย แอลลิสัน) นั่นเอง แถมดูสวีตกันหวานเจี๊ยบเลยด้วยค่ะ!
นอกเหนือจากเรื่องราวความรักของสาวเมฟแล้ว ในซีซันนี้เราจะได้เข้าถึงความเจ็บปวดจากการถูกทอดทิ้งของเมฟมากขึ้น ซึ่งบทบาทของเธอจะมีความดรามาอย่างเข้มข้นจากปัญหาครอบครัวที่แตกร้าว ปัญหายาเสพติด สภาพแวดล้อมของชุมชน จนนำไปสู่การกดดันตัวเองว่าเราไม่ดีพอสำหรับโลกใบนี้ จนเกือบทำให้เธอพลาดโอกาสสำคัญในชีวิต
อีริก เอฟฟอง (นคูตี กัตวา) เพื่อนรักของโอทิสที่ในซีซันนี้ได้มีบทบาทมากขึ้น เราจะได้เห็นความสดใสของอีริกในการเปิดเผยความเป็นเกย์อย่างเต็มที่ ได้เห็นชีวิตรักของเขามากขึ้นผ่านการ #MoveOn แต่แน่นอนว่าเป็นวัยรุ่นมันย่อมไม่ง่าย ผู้เขียนบทอย่าง ลอรี นันน์ จึงต้องส่ง อดัม กรอฟฟ์ (คอนเนอร์ สวินเดลส์) กลับมาปั่นป่วนหัวใจของอีริกอีกครั้ง และในซีซันนี้เราจะได้เห็นบทบาทหนัก ๆ ของอดัมและครอบครัวของเขามากขึ้นด้วย
แก่นหลักของเรื่อง
การขยายสเกลเรื่องราวให้ใหญ่ขึ้นในซีซั่นสอง เขาได้เพิ่มตัวละครใหม่ๆ เข้ามาหลายตัว รวมถึงจดการความสัมพันธ์ของตัวละครเก่าที่ไขว้กันไปมาได้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเอริค ที่ซีซั่นนี้มีหนุ่มหน้าใสสุดฮอตเข้ามาจีบ แต่เขาก็ดันไปมีความสัมพันธ์บางอย่างกับคนที่ Bully เขามาหลายปีอย่าง อดัม
ขอบอกเลยว่าตัวละครอดัมนี่ อาจจะกลายเป็น สตีฟ แฮร์ริงตันในเวอร์ชั่น Sex Education ก็ได้ เพราะเขามีพัฒนาการตัวละครที่น่าสนใจมาก อีกตัวหนึ่งในเรื่องที่เริ่มจาก เด็กเกเร ชอบแกล้งคนอื่น วางมาดใหญ่โต แต่กลับกลายเป็นว่าที่เขาทำแบบนั้นก็เพราะปมปัญหาบางอย่างทางครอบครัว จนค่อยๆ พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น
แก่นของซีซั่นนี้ จะมุ่งเน้นไปที่ความรัก ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะเรื่องราวของครอบครัวที่ยังคงชวนให้ซึ้งและน้ำตาซึม เพราะแต่ละเรื่องก็ได้ขมวดปมไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคู่ของโอทิส โอล่า และเมฟ คู่ของยาค็อบกับ จีน แม่ของโอทิส ทั้งความรักของเด็ก และผู้ใหญ่ โดยจุดเชื่อมหลายๆ อย่าง ก็มาจากคำว่า Sex แถมยังขยี้ปมซะจนดูแล้วอึดอัด ไปกับสถานการณ์ที่แต่ละตัวละครต้องเจอ
แต่ที่ซีรีส์ทำให้เว็บสตรีมหนังคนดูอึดอัดและลุ้นเอาใจช่วยได้ขนาดนี้ เท่ากับว่าเขาทำได้ดีมาก และในเรื่องยังแอบใส่ประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับ Sex ได้ดีเหมือนเดิม อย่างเรื่องการถูกลวนลามในที่สาธารณะ การเปิดใจที่จะคุยเรื่องเพศกันตรงๆ แต่ในซีซั่นนี้ ฉากมีอะไรกันก็มีอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็นหน้าอก เห็นหำ เหมือนซีซั่นแรกเท่าไหร่
โดยรวม
ซีซันนี้มีความยาว 8 ตอนเหมือนเดิม โดยในแต่ละตอน เราจะได้เห็นปัญหาหลากหลายของวัยรุ่นและสังคมที่หล่อหลอมให้ทุกตัวละครเป็นในแบบที่เราเห็นไม่ว่าจะเป็นปัญหาสุขภาพจิต การหย่าร้าง การเติบโตมาในครอบครัวที่มีผู้ปกครอง LGBT ความรุนแรงทางเพศ หรือแม้แต่ภาวะไร้เพศ
ซึ่งแม้จะมีการนำเสนอปัญหาหนัก ๆ เหล่านี้ ซีรีส์ Sex Education ก็สามารถนำเสนอได้อย่างน่าสนใจและชวนติดตามทุกตอน เรียกได้ว่าศัตรูเพียงหนึ่งเดียวของซีรีส์นี้คือการนอนเท่านั้น! (ใครไหวก็ดูรวดเดียวไปเลย ส่วนใครไม่ไหวจะพักเบรกบ้าง ก็ไม่ถึงขั้นลงแดงขนาดนั้น)
สรุป
ถือว่าซีซั่นที่ 2 เป็นภาคต่อที่ดี และยังคงมาตรฐานเดิมเอาไว้ได้เยี่ยม และเพิ่มความดราม่าที่ทำให้เรายิ่งอินไปกับตัวละครมากยิ่งขึ้น สรุปในภาคนี้มันคือการที่ทุกตัวละครเติบโต มันเหมือนกับเราได้เติบโตไปพร้อมกับตัวละคร และช่วงชีวิตหนึ่งของเราก็อาจจะเจอเรื่องแบบนี้ นี่เป็นซีรีส์ Coming of age ที่ดีมากๆ อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าหากใครที่ชอบแนว เลิฟ คอมเมดี้ ดราม่า ผสมกับเรื่องใต้สะดือห่ามๆ ก็อย่าพลาด Sex Education เพศศึกษา (หลักสูตรเร่งรัก) ทั้ง 2 ซีซั่นได้บน Netflix แล้ววันนี้
ปล.ในช่วงท้ายของซีซันนี้ แม้ตอนจบอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจของใครหลาย ๆ คน รวมถึงที่มีการพูดกันว่าเดาทางได้ง่าย ดูจะไม่เป็นข้อเสียหรือรอยด่างพร้อยที่ร้ายแรงนักในมุมมองของผู้เขียน เพราะมันดูเป็นความตั้งใจที่จะปูทางต่อไปสู่ซีซัน 3 อย่างแน่นอน
Komentarze