รีวิว Last Christmas - ลาสต์ คริสต์มาส
เรื่องย่อ
เคท (เอมิเลีย คลาร์ก) แต่งตัวรุ่มร่ามอยู่ในชุดเอลฟ์ เธอทำงานอยู่ในร้านขายของคริสต์มาสในลอนดอน กำลังอยู่ในช่วงย่ำแย่ในชีวิต และทอม (เฮนรี่ โกลดิ้ง) ชายหนุ่มที่ดูดีเกินจริงได้เข้ามาในชีวิตเธอและพาเธอก้าวข้ามอุปสรรคในชีวิต และลอนดอนก็เข้าสู่ช่วงมหัศจรรย์ของปี บางครั้ง คุณก็เพียงแค่ปล่อยให้หิมะตกไป ฟังเสียงของหัวใจ และมีศรัทธา รีวิว Last Christmas
เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่ทุกๆ ปลายปีเพลง Last Christmas จะถูกนำมารีมิกซ์ใหม่ หลายเวอร์ชั่น หลายนักร้องมาก ซึ่งก็ได้รับความนิยมที่จะเปิดฟังในทุกๆ ปี จนมาถึงปีนี้ได้มีการหยิบเอาเนื้อหาในเพลงนี้มาตีความใหม่ สร้างเป็นเรื่องราวความรักขึ้นฉายบนจอใหญ่
เรื่องราวว่าด้วยสาวผู้ซึ่งผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ ต้องพยายามใช้ชีวิตให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ทั้งๆ ที่เธอเองก็รู้สึกว่าไม่ได้มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป จนกระทั่งวันนึงเธอได้พบชายในฝันที่มาช่วยนำพาให้ชีวิตเธอกลับเข้าร่องเข้ารอยอีกครั้ง
เอาจริงๆ แล้วตัวหนังนั้นไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ หรือเกิดคาดเดาอะไรเลย การดำเนินเรื่องค่อนข้างจะธรรมดาด้วยซ้ำไป ผมเองขนาดเป็นคนที่ไม่ค่อยคิดอะไรระหว่างดูยังสามารถรับโน้นชนนี่ เดาเรื่องช่วงท่ายของหนังได้เป๊ะๆแบบฉากต่อฉากเลยทีเดียว แต่ในความง่ายๆของหนังเรื่องนี้นั้น มันเต็มไปด้วยความโรแมนติก เพลิดเพลินไปกับบทเพลงประกอบในหนัง และบรรยากาศ Christmas ชวนให้อบอุ่นหัวใจ
อย่างที่เคยบอกไว้ในรีวิวของ ฮาร์ทบีท ว่าช่วงท้ายๆ ปี ต้องมีหนังรักๆ รอมคอม อะไรแนวนี้เข้ามาช่วงนี้เสมอ ซึ่งหนังไทยก็มีไปละ คราวนี้มาหนังต่างประเทศบ้าง กับเรื่อง Last Christmas ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือตั้งใจ เพราะประเด็นบางอย่างของตัวนางเอกช่างเหมือนกับใน ฮาร์ทบีท เสียเหลือเกิน
นี่คือหนังที่ผู้กำกับ พอล ฟีก จาก Bridesmaids (2011) และ Ghostbusters (2016) กับมือเขียนบทที่ลงทุนมาเล่นบทแม่นางเอกเองด้วยอย่าง เอมม่า ธอมป์สัน จาก Sense and Sensibility (1995) โดยทั้งคู่หมายมั่นปั้นมือนำบทเพลงดังที่สุดแห่งเทศกาลคริสต์มาสสมัยใหม่อย่าง Last Christmas ของวง Wham! ที่ประกอบด้วย 2 ดูโอหนุ่มจากอังกฤษแห่งยุค 80s คือ
จอร์จ ไมเคิล และ แอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ มาตีความใหม่ ซึ่งบทเพลงเดิมนั้น ริดจ์ลีย์เคยนิยามไว้ตอนที่ได้ฟังไมเคิลร้องให้ฟังครั้งแรกว่า “คือช่วงเวลาแห่งความอัศจรรย์ใจ” ในขณะที่ คริส พอร์เตอร์ ผู้คุมการบันทึกเสียงเพลงนี้ก็ให้นิยามที่ตรงใจกับหลายคนที่ฟังเพลงนี้ว่า มันคือ “ท่วงทำนองแห่งความสุข ที่แสนเศร้าด้วยรักอันไม่สมหวัง”
ตัวหนังไม่มีอะไรซับซ้อน เดินเรื่องง่ายๆ เข้าใจไม่ยาก เพลินๆ เรื่อยๆ ภาพรวมมันก็โอเคนะ ไม่ได้หวานจนเลี่ยน ซึ้งจนน้ำตาไหล หรือดราม่าจนร้องห่มร้องไห้ แต่ทุกอย่างมันจะอยู่กลางๆ หมดเลย พอหนังดำเนินไปเรื่อยๆ มาถึงจุดนึงเราจะจับทางได้ละว่า “มันต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ” และมันก็เป็นอย่างที่เราคิดจริงๆ แบบไม่มีผิดเพี้ยน กลายเป็นเดาเรื่องออกง่ายๆ เลย แถมยังมีประเด็นหลายๆ ส่วนที่นั่งคิดแล้วคิดอีก ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีเลยด้วยซ้ำ ใส่เข้ามาโดยไม่จำเป็น และไม่ได้ส่งผลอะไรกับหนังเลย
หนังให้ เคท เป็นศูนย์กลางของโลก ทุกอย่างถูกมองผ่านเล่าผ่านไม่เพียงสายตาของเธอ แต่ยังด้วยทัศนคติของเธอด้วย เปิดเรื่องเธอถูกตราหน้าจากเพื่อนสนิทหลายต่อหลายคนที่เธอไปขออาศัยนอนระหว่างทำงานล่าฝันการเป็นนักร้อง ว่าเธอคือ “คนที่เห็นแก่ตัวที่สุดในโลก” และแม่มังกร เอมิเลีย คลาร์ก (จาก Game of Thrones) ก็ถ่ายทอดตัวละครนี้ได้อย่างดูมีเนื้อมีหนังมีชีวิตขึ้นมาจริง ๆ เธออาจไม่ได้เฉิดฉายเด่นเด้งในการเป็นนางเอก
แต่เธอมีเสน่ห์และเป็นพระอาทิตย์ตามธรรมชาติที่ตัวละครทั้งหลายและผู้ชมต่างยอมหมุนรอบเธอได้ ต้องมองว่าเคทเองก็เป็นคาแรกเตอร์ที่น่าสนใจในตัวอยู่แล้ว เธอเป็นลูกหลานชาวยูโกสลาเวียที่ย้ายถิ่นฐานมาอังกฤษหลังโซเวียตแตก เธอเป็นนักร้องในโบสถ์เสียงพรสวรรค์ในวัยเด็ก เธอสวยเธอสาวและมีความฝัน
แต่ภาพตรงหน้าที่ดูหนังฟรีเห็นคือเคทเป็นตัวละครที่พังทลาย เธอล้มเหลวในฐานะเพื่อน (ไม่มีใครอยากช่วยเธออีก) ในฐานะแฟน (เธอเจอแต่คนที่ไม่ใช่) ในฐานะลูก (เธอเบื่อแม่ของเธอ) ในฐานะน้องสาว (เธอทะเลาะกับพี่สาวขั้นไม่มองหน้า) และในฐานะลูกจ้าง (เธอพลาดในงานง่าย ๆ) แต่ก่อนเราจะเชื่อเช่นนั้น หนังให้คำใบ้สำคัญจากนายจ้างของเธออย่าง ซานต้า (มิเชลล์ โหย่ว) ว่าครั้งหนึ่งเธอรู้สึกโชคดีที่ได้เคทมาเป็นพนักงานประจำแต่หลังจากเธอกลับมาทำงานอีกครั้งทุกอย่างพลิกเป็นหน้ามือหลังทีน
นั่นคือกลเม็ดของการเล่าเรื่องที่หนังค่อย ๆ ปล่อยให้เรารู้จักเคทว่าอะไรทำให้เธอกลายมาเป็นแบบนี้ และแน่นอนการมาของผู้ชายแสนดีและเป็นปริศนาราวกับเทพบุตรผู้มาเยือนงานเทศกาลท้ายปี อย่าง ทอม (เฮนรี่ โกลดิ้ง จาก Crazy Rich Asians) ผู้จะเข้ามาเปลี่ยนมุมมองและหัวใจของเธอให้กลับมาสวยงามอีกครั้ง นั้นจะเพียงพอให้เธอผ่านวันคืนเฮงซวยในชีวิตของเธอได้หรือไม่
Last Christmas เมื่อเพลงคุ้นหูถูกนำมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์
ข้อดี
ส่วนดีของหนังในจุดอื่น ๆ ที่ต้องว่ากันคือ โพรดักชันที่สะท้อนวิสัยทัศน์รวมของหนัง ว่าจะทำให้คริสต์มาสนั้นพิเศษและผู้ชมต้องมนต์เทศกาลความสุขนี้อีกครั้ง เราจะได้เห็นฉากในกรุงลอนดอนที่สวยและเรียบง่ายอย่างทางเดิน ตรอกซอย หรือสวนสาธารณะเล็ก ๆ ที่ประดับประดาด้วยแสงไฟเหนือจริง ยิ่งฉากร้านขายของคริสต์มาสที่นางเอกทำงานอยู่นี่เหมือนฝันจริง ๆ วิธีคิดด้านภาพเองก็สะท้อนมุมนี้ออกมาด้วยเพราะภาพใสอบอุ่นสมหนังโรแมนติกเลย มุกตลกและมุกเซอร์ไพรส์ในหนังก็ทำงานดีทุกครั้งที่ตั้งใจปล่อย และน่ารักมากก (มีมุกคุณตำรวจหญิง 2 คนนั่นล่ะที่ยอมแพ้ไม่ค่อยเก็ตความตลกแบบอังกฤษเท่าไหร่ 55)
เพลงเองก็ถูกนำมาใช้ในหนังเยอะมาก ดาวเด่นก็ต้องเป็น Last Christmas ตามชื่อหนัง และยังมีเพลงของจอร์จ ไมเคิล อีกหลายเพลงที่ถูกนำมาสอดแทรกได้ตรงจังหวะ เรียกว่าคนทำเนิร์ดจอร์จ ไมเคิลไม่เบาเลยล่ะ ด้วยความเนิร์ดนี้เองหนังจึงไม่พลาดที่พา แอนดรูว์ ริดจ์ลีย์ กลับมาหาไมเคิลอีกครั้งในฐานะดารารับเชิญ แม้ไมเคิลจะจากไปตั้งแต่ 25 ธันวาคมเมื่อ 3 ปีก่อนแล้ว แต่การมาของริดจ์ลีย์ในฉากมวลสุขสุดท้ายของหนังก็เติมเต็มหัวใจของแฟนเพลงยุคเก่าได้อีกครั้งจริง ๆ นะ
ส่วนที่อยากพูดเกี่ยวกับหนังและขอชื่นชมอีกก็คือ การสร้างคอนทราสต์แบบตั้งใจ หนังถ่ายทอดสดมีความล่องลอยเหนือจริงกับชีวิตจริงสุดเรียลไว้ด้วยกัน แล้วเกิดมวลความรู้สึกใหม่ ๆ ให้หนังได้ดี ในขณะที่เคทก็ชีวิตย่ำแย่จิตใจบอบช้ำสุด ๆ เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์หนุ่มสาวปัจจุบันในโลกนี้ที่ผ่านเผชิญความสาหัสสากรรจ์ของโลกมาจนประโยคของพระเอกที่ว่า “ทำไมเธอจะต้องโฟกัสกับความเป็นคนพิเศษ ในเมื่อการเป็นแค่คนธรรมดาก็ยากจะตายอยู่แล้วทุกวันนี้” กลายเป็นคำที่เข้าหัวจิตหัวใจทั้งเคทและผู้ชมเหลือเกินได้
ด้านทอมเองก็ผลุบโผล่ไร้ที่มาที่ไปเปี่ยมเสน่ห์และให้อารมณ์ตัวตนที่ไม่มีอยู่จริงบนโลกใบนี้ ทั้งการเต้นรำไปตามท้องถนน รอยยิ้มแสนหวาน ดวงตามที่มองสิ่งใดก็พิเศษอยู่เสมอ และจิตใจอันประเสริฐสุดที่เมตตาแก่มนุษย์ทุกคนแม้แต่ผู้ยากไร้ คนไร้บ้าน เช่นเดียวกับที่จอร์จ ไมเคิล เองก็อุทิศเวลาเป็นจิตอาสาช่วยคนไร้บ้านในสมัยมีชีวิตด้วยเช่นกัน (จะมองว่าตัวละครพระเอกคือภาพคอนเซปต์ความดีงามของโลกผ่านความคล้ายคลึงกับจอร์จ ไมเคิลก็ไม่ผิดเลยนะ) ความคอนทราสต์สุดแบบนี้ทำให้หนังมันเต็มไปด้วยความรู้สึกของมนต์วิเศษโอบล้อมเราตลอดเวลาได้อย่างดี
สุดท้ายไม่ท้ายสุด แม้หนังจะดูเบาดูหวานขนาดไหน แต่เอาจริงมันพูดประเด็นสำคัญมาก ๆ ที่เผยตัวเองจริง ๆ จัง ๆ ในช่วงหลังของหนังที่เผยไพ่บนมือหมดกระดานแล้ว นั่นคือหนังมันว่าด้วยความเมตตากรุณา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์ โดยใช้สถานการณ์เบร็กซิตที่อังกฤษจะถอนตัวจากสหภาพยุโรปเพื่อกีดกันคนต่างด้าวและผู้อพยพที่อยากเข้ามาเกาะกินคนอังกฤษ ว่าสุดท้ายแล้วเราจะมองเพื่อนมุษย์เท่าเทียมกันและโอบกอดพวกเขาด้วยความรักได้จริงใจแค่ไหนกัน โลกคงดีขึ้นไม่น้อยเลย นั่นคือสิ่งที่หนังทิ้งไว้ในตอนเราออกจากโรงซึ่งเป็นสาระดี ๆ ที่หนังสื่อมาแบบไม่ล่องลอย
สรุป
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นหนังที่เดาเรื่องราวได้ไม่ยาก แต่ตัวหนังเองนั้นก็สามารถนำพาคนดูให้เอ็นจอยกับความโรแมนติก ทำหน้าที่เป็นหนังครอบครัวดูแล้ว Feel Good ในช่วงปลายปีได้อย่างเต็มเปี่ยม เหมาะแก่การชวนคนที่รักมาชมด้วยกันเป็นอย่างมาก
Comments