รีวิว Ford V Ferrari - ใหญ่ชนยักษ์ ซิ่งทะลุไมล์
เรื่องย่อ
หลังถูกเฟอรารีลูบคมจนค่ายรถอเมริกันอย่างฟอร์ดทนไม่ได้จึงหวังใช้สนามแข่งรถ 24 ชั่วโมงอย่างเลอมังค์เป็นโต๊ะพนันเกมใหญ่ เปิดซิงตัวเองในวงการรถแข่งแนสคาร์ และความหวังของพวกเขาก็ตกอยู่ในมือ คารอล เชลบี (แมต เดมอน) อดีตแชมป์เลอมังค์ที่ผันตัวมาเป็นวิศวกรออกแบบรถแข่ง หลังป่วยจนไม่อาจกลับไปอยู่หลังพวงมาลัยได้อีก และ เคน ไมลส์ (คริสเตียน เบล) นักแข่งรถชาวอังกฤษเลือดร้อนที่หวังหาเงินเลี้ยงครอบครัวหลังอู่ถูกปิดกิจการ แต่หากคิดว่าศึกนี้อยู่แค่ในสนามแข่งรถ คุณคิดผิด ! พวกเขายังต้องเผชิญกับผู้บริหารเขี้ยวลากดิน และแรงกดดันจากฝ่ายการตลาดที่ทำทุกทางเพื่อขายรถจนลืมจิตวิญญาณของนักแข่งที่พวกเขาบูชา.. รีวิว Ford V Ferrari
เจมส์ แมนโกลด์ คือชื่อที่คอหนังยอมรับในแง่การทำหนังที่หลากหลายแนวที่สุด สร้างชื่อจากหนังทริลเลอร์แนวคิดแหวกอย่าง Identity (2003) มาจนถึงงานแมสสุดขั้วอย่าง Logan (2017) หรือวูล์ฟเวอรีนฉบับวัยทองที่ได้ใจทั้งคอหนังสายรางวัลและแฟนบอยซูเปอร์ฮีโร แต่กระนั้นแนวหนังที่เจมส์ แมนโกลด์ น่าจะเป็นเอตทัคคะและเยือนเวทีออสการ์มาหลายครั้งน่าจะหนีไม่พ้นหนังประเภทสร้างหรือได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงนี่แหละ
ทั้ง Walk The Line (2005) หนังเพลงชีวประวัติ จอห์นนี แคช นักดนตรีคันทรีชื่อดังที่พา วาควิน ฟีนิกซ์ เข้าชิงออสการ์ หรือหนังที่ส่ง แองเจลินา โจลี ไปรับรางวัลสาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมอย่าง Girl, Interrupted (1999) และกับ Ford v Ferrari ก็นับเป็นโพรเจกต์ที่แมนโกลด์ ดูหนังออนไลน์ได้แสดงศักยภาพในการทำหนังที่ให้น้ำหนักระหว่างคุณภาพของบท การแสดง ไปจนถึงความบันเทิงขายความอลังการของฉากแอ็กชันได้อย่างลงตัวทีเดียว
เริ่มจากบทของ เจซ และ จอห์น เฮนรี บัตเทอร์เวิร์ธ กับ เจสัน เคลเลอร์ ที่จับเหตุการณ์มาเล่าได้รอบด้านมากจนมันพาเราออกจากหนังแนวสู้เพื่อฝันที่คุ้นตาและแสนคลีเช่ ด้วยการตัดสลับเหตุการณ์ที่มีสีสันไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเลยระหว่างการกรุยทางหาเงินจากการแข่งรถแบบรายการท้องถิ่นของ คารอล เชลบี และ เคน ไมลส์ แลัวตัดไปเล่าในโลกของ ฟอร์ด มอเตอร์ ในยุคที่ เฮนรี ฟอร์ดที่ 2 (เทรซี เลตส์) มากุมบังเหียนบริษัทและต้องเพี่ยงพล้ำให้กับเกมปั่นราคาของ เอนโซ เฟอรารี (เรโม จีโรเน่) จนไม่เพียงต้องหน้าแหกเมื่อ เอนโซ ขายเฟอรารีให้เฟียตเท่านั้น แต่ยังถูกตาเฒ่าสารพัดพิษอย่าง เอ็นโซ สบประมาทว่าเขาไม่มีทางทำให้ฟอร์ดยิ่งใหญ่ได้เหมือนคนเป็นพ่อ และเป็นได้แค่เพียง
“ฟอร์ดที่ 2” เท่านั้น ซึ่งการที่ทีมเขียนบทยกประเด็นนี้มาเล่ายังผลให้เรื่องราวสามารถขยายไปสู่การลงลึกถึงเกมทางการตลาดของ ฟอร์ด อันเป็นที่มาของทีมรถแข่ง และนั้นทำให้ตัวละครผู้บริหารได้มีบทบาทสร้างสีสันให้เรื่องราวได้สนุกยิ่งขึ้นทั้ง ลี เอียคอกกา (จอห์น เบิร์นธัล) หัวหน้าฝ่ายการตลาด หรือ ลีโอ บีบี (จอช ลูคัส) ผู้บริหารที่ ฟอร์ด ไว้ใจให้มาคุมทีมแข่งรถของบริษัท ที่ทำให้เราเห็นเลยว่าแท้จริงสนามแรกที่ทั้ง เชลบี และ ไมลส์ ต้องต่อสู้หาใช่เฟอรารี แต่เป็นเหล่าผู้บริหารบริษัทที่คอยถ่วงความฝันของพวกเขาไว้นี่เอง
ในด้านตัวละครหลักเอง Ford v Ferrari ก็บอกเล่าเรื่องราวได้น่าสนใจ หนังเปิดเรื่องที่ คารอล เชลบี ในคืนแข่งรถสนามเลอมังค์ที่ทั้งความเครียดและปัญหาสุขภาพรุมเร้าจนเขากลายเป็นโรคหัวใจ เพื่อสื่อให้เห็นชีวิตของผู้ชายคนนึงที่ทุ่มเทให้ทุกสนามแต่เมื่อชีวิตต้องพาเขาเข้าพิตช์แบบไม่วันลงไปแข่งได้อีก การได้เจอ เคน ไมลส์ นักแข่งอังกฤษที่ทำงานประจำเป็นช่างซ่อมรถฝีปากกล้าก็เหมือนเครื่องจูนกันติด
ดังนั้นมิตรภาพของพวกเขาเลยเกิดขึ้นท่ามกลางความร้อนแรงในสนามแข่งขัน และหนังก็ปูให้เราผูกพันกับตัวละครทั้งสองจนทำให้เราอดลุ้นตามไม่ได้ ไม่เพียงฉากแข่งรถเท่านั้น แม้กระทั่งตอนตัวละครต่อปากต่อคำกัน เรายังอดบันเทิงตามไม่ได้ แถมเหตุการณ์ในชีวิตทั้งคู่ยังวนเวียนกับการทะเลาะกับเหล่าผู้บริหาร หรือกระทั่งทะเลาะกันเองจนหนังให้มิติความสัมพันธ์ที่หลากหลาย ไม่จำเจ
ที่สำคัญคาดเดาได้ยากประหนึ่งเราได้ใช้ชีวิตร่วมกับทั้งคู่ในเวลา 2 ชั่วโมงกว่า ๆ จริง ๆ หรือใครเป็นสายวิเคราะห์ตระกูลหนัง เรายังแอบเห็นการเปรียบเปรยกับแนวหนังคาวบอยหรือหนังบุกเบิกตะวันตก โดยเฉพาะการกำหนดให้ตัวเองเป็นคน อเมริกาและ คนอังกฤษ ในดินแดนแดนที่ไม่คุ้นเคยอย่างสนามแข่งแนสคาร์ในยุโรป ตัวละคร คารอล เชลบี (อเมริกัน)และ เคน ไมลส์ (อังกฤษ)ก็แทบไม่ต่างจากคาวบอยพเนจรที่หลงมาในแดนเถื่อนที่มี เฟอรารี ครองตลาดรถแข่งอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนจากการควบม้าแข่งหรือดวลปืนมาเป็นการประชันความแรงของรถยนต์แทน ซึ่งก็ถือว่า แมนโกลด์ เอาประสบการณ์จากการรีเมd 3 : 10 to YUMA มาปรับใช้ได้ลงตัวทีเดียว
ในงานด้านเทคนิคของหนังต้องบอกว่า ทุกภาคส่วนแทบทำงานประสานกันเหมือนเครื่องยนต์ที่กลไกและอะไหล่แต่ละชนิดเป็นของชั้นดี ตั้งแต่งานบทที่เราชมไปแล้ว งานกำกับของเจมส์ แมนโกลด์ ที่วิสัยทัศน์ของเขาไม่เพียงให้เราดูหนังชีวประวัติน่าเบื่อ หรือหนังแข่งรถแบบไร้สติ ตรงกันข้ามทั้งส่วนดราม่าตัวละคร แมนโกลด์ก็บอกเล่าได้ละเอียดละออ และอาศัยจังหวะคอมเมดี้ให้เราตบเข่าฉาดได้แทบทุกซีน ส่วนฉากแอ็กชันแข่งรถ โปรแกรมหนังก็ต้องบอกว่า
นี่เป็นหนังแข่งรถไม่กี่เรื่องที่ทำให้เราเหงื่อซึมมือตื่นเต้นและลุ้นเหมือนไปอยู่หลังพวงมาลัยร่วมกับตัวละคร ซึ่งงานนี้แมนโกลด์ก็ทำงานร่วมกับ ฟีดอน พาพาไมเคิล ตากล้องคู่บุญมาตั้งแต่ตอนทำ Identity ร่วมกันที่ทำให้งานภาพตื่นตาตื่นใจและมีมุมมองใหม่ ๆ ตลอดโดยเฉพาะซีนดราม่าที่ เคน ไมลส์ ถูกสะกัดดาวรุ่งอดไปแข่ง เลอมังค์ จนต้องฟังการแข่งขันทางวิทยุ และงานภาพที่ก็ทำให้เราเห็นภาพในหัวของเขาด้วยการ อาศัยแสงเงาที่ส่องผ่านรถที่อยู่บนเครนจนเกิดภาพคล้ายรถแนสคาร์ที่กำลังขับตามกันได้อย่างน่าคารวะและน่าศึกษาอย่างยิ่งสำหรับนักศึกษาภาพยนตร์ในแง่การสร้างสรรค์งานภาพที่แปลกใหม่ และแน่นอนว่าเครื่องยนต์ชั้นดีจะมาพร้อมเสียงที่ชวนให้ฮึกเหิม
และกับ Ford v Ferrari เองก็ให้ความสำคัญตั้งแต่ สกอร์โดย มาร์โค เบลทรามี และ บัค แซนเดอร์ส ที่เคยร่วมงานใน Logan มาให้ท่วงทำนองที่พาเราขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาทางอารมณ์ได้อย่างลื่นไหล แต่งานเสียงอีกจุดที่ผมว่าเป็นมาสเตอร์พีซและน่าศึกษาจริง ๆ คืองานบันทึกเสียงและมิกซ์เสียงของหนังที่ทำได้ละเอียดละออมาก แม้แต่ฉากบทสนทนาธรรมดาเรายังรู้สึกได้ถึงบรรยากาศ ความใกล้ไกลของเสียงที่เป็นธรรมชาติ และพอถึงฉากแข่งรถ หรือ งานเปิดตัวทีมแข่งรถ โอ้โห รู้เลยว่าทำไมหนังถึงเลือกมิกซ์ระบบเสียง Dolby Atmos
เพราะงานเสียงในฉากแข่งรถของ Ford v Ferrari ไม่ใช่แค่ไปอัดเสียงเครื่องยนต์รถให้ตรงรุ่นซึ่งถือเป็นงานเสียงระดับพื้นฐานเท่านั้นตรงกันข้ามเสียงทุกอย่างถูกออกแบบมาได้ซับซ้อน และไปด้วยกันกับงานภาพมากโดยเฉพาะการถ่ายลอดใต้ท้องรถที่เราแทบได้ยินเสียงแยกกันหมดเลยทั้งการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ เสียงล้อบดถนน รอบรถที่ขับเคี่ยวกันจนหากพูดว่าเหมือนได้กลิ่นเบรกไหม้เกิดขึ้นในหัวก็คงไม่เกินเลยแม้แต่น้อย
ด้านการแสดง
ต้องบอกว่า Ford v Ferrari เหมือนพาเราไปเจอมุมใหม่ทางการแสดงของซูเปอร์สตาร์ขายฝีมือทั้ง คริสเตียน เบล และ แมต เดมอน อย่างแท้จริง โดยรายแรก คริสเตียน เบล ที่เล่นหนังอเมริกันมานานจนเกือบลืมกำพืดเก่าของเขาว่าเกิดที่อังกฤษ ผมเลยประหลาดใจไม่น้อยที่เห็นเขาพูดสำเนียงอังกฤษได้เป๊ะขนาดนี้ จนมาหาข้อมูล อ้าว! มิน่าล่ะ ฮ่าาาา แต่เอาแบบจริงจังเลยนะบท เคน ไมลส์ ที่เหมือนจะง่ายแต่กลับซ่อนรายละเอียดทางการแสดงหลายอย่างที่ท้าทาย เบล อย่างเห็นได้ชัด
ทั้งต้องพูดบทแบบผู้เชี่ยวชาญด้านเครื่องยนต์และคิดแบบนักแข่งที่กระหายชัยชนะ และในขณะเดียวกันยังเผชิญแรงกดดันที่ต้องหาเลี้ยงครอบครัวให้อยู่รอดให้ได้ ซึ่งเบลก็ถ่ายทอดได้อย่างไร้ที่ติ เราจะเห็นแรงขับแบบยิ่งกว่า 7,000 รอบต่อนาทีของความแรงสูงสุดในตัวละครที่เบลแสดงเสมอ ส่วนบท คารอล เชลบี ก็ทำให้ เดมอน ได้ขุดค้นอีกด้านของการแสดงออกมา โดยเฉพาะการ ที่ต้องถ่ายทอดบทของอดีตแชมป์ที่อยากหลุดพ้นจากการเป็นแค่เซลส์ขายรถ
แถมยังต้องมาต่อกรกับเหล่าผู้บริหารที่หวังผลทางธุรกิจจนไม่สนใจจิตวิญญาณนักแข่งรถที่แท้จริงจนเขาต้องสู้ใช้ทั้งเล่ห์ทั้งกลซึ่ง เดมอน ก็ทำให้ เชลบี กลายเป็นตัวละครที่มีสีสันทั้งแสบและอบอุ่นไปพร้อม ๆ กันได้อย่างลงตัว และไม่เพียงแค่ แมต เดมอน กับ คริสเตียน เบล เท่านั้น หนังยังได้นักแสดงที่น่าสนใจทั้ง จอห์น เบิร์นธัล จากซีรีส์ The Punisher ทาง Netflix มารับบท ลี เอียคอกกา หัวหน้าฝ่ายการตลาดได้อย่างมีเสน่ห์
หรือแม้กระทั้ง ไคทรีโอนา บัลเฟ จากซีรีส์ Outlander ที่รับบท มอลลี ไมลส์ เมียสาวที่พร้อมสนับสนุนสามีทุกอย่างก็ช่วยให้หนังที่เต็มไปด้วยผู้ชายเรื่องนี้ไม่แห้งแล้งความงามจนเกินไป รวมถึง โนอา จูปส์ ที่เพิ่งได้รับคำชมล้นหลามจาก Honeyboy หนังชีวิตพังของไชอา ลาบัฟ ก็พาหน้าหล่อ ๆ น่ารัก ๆ มารับบท ปีเตอร์ ไมลส์ ลูกชายเคน ไมลส์ ได้อย่างมีเสน่ห์ทีเดียว
เรียกได้ว่า Ford v Ferrari มีดีตั้งแต่เครื่องยนต์ยันดีไซน์เลยทีเดียว ทั้งบท การกำกับ การแสดง และงานเทคนิกของหนังจนขอยกให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีและดูสนุกที่สุดในปี 2019 ไปเลย ซึ่งหนังก็จะเปิดรอบสนีค พรีวิว ชมก่อนใครในวันที่ 28 พฤศจิกายนนี้ รอบตั้งแต่ 2 ทุ่มเป็นต้นไป และจะเข้าฉายรอบปกติในวันที่ 5 ธันวาคมนี้
สรุป
เป็นหนังที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงที่เอามาดัดแปลงให้เกิดความสนุก (แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องราวจริงๆ ออกไปมาก) ซึ่งสามารถทำให้คนดูลุ้น อิน เอาใจช่วยตัวละครตลอด 2 ชั่วโมงที่หนังเล่า และปิดท้ายด้วยความอึ้งเบาๆ ก่อนหนังจบ ที่บางคนอาจจะเสียน้ำตาให้ในพาร์ทนี้ของหนังเลยทีเดียว
Comments