13 Reasons Why
รีวิว 13 Reasons Why Season 2 - 13 บันทึกลับหัวใจสลาย
หลังซีซันแรกสร้างปรากฏการณ์ฮิตติดลมบนจน Netflix ได้กลับมาจับมือกับ ไบรอัน ยอร์คีย์ ภายใต้การผลักดันของ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังอินดี้และ เซเลนา โกเมซ นักร้องสาวคนดัง ในการกลับมาสานต่อเรื่องราวหลังซีซันแรกทิ้งไว้ที่เหตุการณ์พ่อกับแม่ แฮนนา ตัดสินใจฟ้องร้อง ลิเบอร์ตี้ ไฮ โรงเรียนมัธยมภาพลักษณ์ดีแต่แฝงอันตรายรอบด้านทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ และการปกป้องผลประโยชน์ของนักเรียนรวยๆ ดังนั้นเหตุการณ์ในซีซันนี้จะใช้การให้ปากคำในศาลของผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ในการให้ข้อมูลอีกด้านที่แฮนนา เบเคอร์ ไม่ได้กล่าวในเทป ที่ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของแต่ละคนที่มีทั้งความรู้สึกผิด และความรักที่กลายเป็นความแค้น เพิ่มมิติให้ตัวละครที่เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของแฮนนาในซีซันแรกได้เป็นอย่างดีทีเดียว รีวิว 13 Reasons Why Season 2
เรื่องย่อ
และเมื่อซีซันแรกมีเทปแคสเซตเป็นกิมมิกในการเล่าเรื่อง สำหรับซีซันนี้ก็มีภาพถ่ายโพลารอยด์ที่เคลย์ได้รับจากบุรุษปริศนา เพื่อให้เขาตามหาต้นตอของภาพที่ไม่เพียงเรียกร้องความยุติธรรมให้แฮนนาเท่านั้นแต่ยังเปิดโปงความโสมมของสังคมในลิเบอร์ตี้ ไฮ อีกด้วย ซึ่งทำให้เนื้อหาในซีซันนี้นอกจากสานต่อบทสรุปชีวิตของแฮนนา เบเคอร์แล้ว มันยังมุ่งเป้าตีแผ่การล่วงละเมิดทางเพศและความรุนแรงในรั้วโรงเรียนให้เข้ากับกระแส Me Too อีกด้วย
หลังซีซันแรกสร้างปรากฏการณ์ฮิตติดลมบนจน Netflix ได้กลับมาจับมือกับ ไบรอัน ยอร์คีย์ ภายใต้การผลักดันของ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังอินดี้และ เซเลนา โกเมซ นักร้องสาวคนดัง ในการกลับมาสานต่อเรื่องราวหลังซีซันแรกทิ้งไว้ที่เหตุการณ์พ่อกับแม่ แฮนนา ตัดสินใจฟ้องร้อง ลิเบอร์ตี้ ไฮ โรงเรียนมัธยมภาพลักษณ์ดีแต่แฝงอันตรายรอบด้านทั้งการล่วงละเมิดทางเพศ
และการปกป้องผลประโยชน์ของนักเรียนรวยๆ ดังนั้นเหตุการณ์ในซีซันนี้จะใช้การให้ปากคำในศาลของผู้เกี่ยวข้องแต่ละคน ในการให้ข้อมูลอีกด้านที่แฮนนา เบเคอร์ ไม่ได้กล่าวในเทป ที่ทำให้เราได้รับรู้เรื่องราวของแต่ละคนที่มีทั้งความรู้สึกผิด และความรักที่กลายเป็นความแค้น เพิ่มมิติให้ตัวละครที่เคยเป็นเพียงเรื่องเล่าของแฮนนาในซีซันแรกได้เป็นอย่างดีทีเดียว
เนื้อเรื่อง
13 Reasons Why ซีซัน 2 เล่าถึงเหตุการณ์และสภาพจิตใจของผู้คนหลังการฆ่าตัวตายของนางเอก ฮันนาห์ เบเกอร์ (รับบทโดย แคทเธอรีน แลงฟอร์ด) ในซีซันแรก ซึ่งคุณแม่ของเธอ โอลิเวีย เบเกอร์ (รับบทโดย เคต วอลช์) ได้ตัดสินใจฟ้องร้องลิเบอร์ตี้ไฮสคูล ข้อหาปล่อยให้ลูกสาวโดนรังแก และส่งผลต่อจิตใจจนทำให้เธอตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเอง
ในแต่ละตอนจะมีตัวละครมาให้ปากคำในชั้นศาล (ตัวละครเหล่านี้ล้วนอยู่ในเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์พูดถึงในซีซันแรก) ส่วนทนายของฝ่ายโรงเรียนเองก็จะพยายามโต้กลับว่าเหตุการณ์การรังแกเกิดขึ้นนอกรั้วโรงเรียน และเป็นเพราะการตัดสินใจของฮันนาห์เองที่ทำให้เธอพบเจอปัญหาต่างๆ แต่จุดหักมุมก็เกิดขึ้นหลังจากพระเอก เคลย์ เจนเซน (รับบทโดย ดีแลน มินเนตต์) ตัดสินใจปล่อยเทปคาสเซตต์ที่ฮันนาห์ได้อัดไว้สู่สาธารณะเพื่อความเป็นธรรม ซึ่งก็พลิกรูปแบบคดีและทำให้ทุกอย่างเข้มข้นขึ้น
แม้ซีซัน 2 จะเป็นการเขียนเรื่องราวขึ้นมาใหม่ภายใต้มุมมองของผู้สร้าง ไบรอัน ยอร์คีย์ ที่เคยชนะรางวัลพูลิตเซอร์จากบทละคร Next to Normal โดยไม่ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือของผู้ประพันธ์ เจย์ แอชเชอร์ เหมือนซีซันแรก แต่สิ่งที่ 13 Reasons Why ในภาคนี้หนัง HDยังคงสำรวจลึกไปถึงก้นบึ้งของอารมณ์ตัวละครที่มาพร้อมความซับซ้อนและแปรปรวนตามประสามนุษย์ เราจะเห็นได้ว่าในแต่ละครั้งที่ตัวละครให้ปากคำในศาล ทุกคนล้วนมาในอารมณ์ที่ต่างกัน บางคนทลายกำแพงตัวเองและพูดทุกอย่างออกมา บางคนเลือกที่จะช่วยบุคคลที่ไม่ควรปกป้อง บางคนพูดตามสคริปต์ที่ทนายบอก หรือบางคนยังไม่กล้าพูดความจริงเพราะถูกหลอกหลอนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง
ประเด็นที่น่าสนใจ
ประเด็นที่น่าสนใจของ 13 Reasons Why ซีซัน 2 คือซีรีส์ถูกฉายในช่วงเวลาที่เรื่องราวการล่วงละเมิดทางเพศ การข่มขืน และจุดยืนของผู้หญิงกำลังเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากในสังคม ซึ่งจะบอกว่าผู้สร้างและ Netflix ไม่อยากจะเป็นกระจกสะท้อนประเด็นนี้ก็คงไม่ใช่ เพราะด้วยอิทธิพลอันมหาศาลของเรื่องนี้ที่ถึงขั้นมีการรายงานว่าบางหน่วยงานและโรงเรียนได้ออกมาเปิดเผยตัวเลขการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น สืบเนื่องจากเรื่องนี้ 13 Reasons Why จึงเลือกจะปรับตัวเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยขับเคลื่อนสังคมได้อย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมบทสนทนาในหลายตอนเหมือนถูกเขียนขึ้นเพื่อสื่อสารกับคนดูทางบ้าน และทำให้คนในสภาพอารมณ์ที่เปราะบางไม่รู้สึกว่าหมดหนทาง แถมทางซีรีส์เองก็จัดตั้งเว็บไซต์ 13reasonswhy.info ที่เมื่อเข้าไปแล้วจะมีรายชื่อหน่วยงานช่วยเหลือในกว่า 50 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย
ถ้าให้ตีความลงไปอีก 13 Reasons Why ซีซัน 2 ได้ถ่ายทำในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับที่วงการฮอลลีวูดถูกสั่นคลอนกับการเปิดโปงประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศของโปรดิวเซอร์หนังมือทองอย่าง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน ซึ่งตัวละคร ไบรซ์ วอล์กเกอร์ (รับบทโดย จัสติน เพรนทิส) ที่มีการข่มขืน เจสสิก้า เดวิส (รับบทโดย อลิชา โบ) และฮันนาห์ ในซีซันแรกเหมือนถูกปรุงแต่งและเนรมิตในซีซันนี้ให้จัดจ้านขึ้นและให้คนเห็นถึงความคล้ายคลึงกัน
โดยลักษณะของไบรซ์กับฮาร์วีย์เหมือนกันตรงที่ทั้งคู่มีอำนาจในแวดวงตัวเอง ได้รับการยกย่องในหน้าที่การงานและมีเงินล้นหลามจนกลบเกลื่อนความผิดได้ระดับหนึ่ง ซึ่งเพราะปัจจัยนี้หลายคนจึงเลือกที่จะยังอารักขาและสนับสนุนต่อไป หนึ่งในโปรดิวเซอร์ของซีรีส์นี้อย่าง จอย กอร์แมน ก็ได้ให้สัมภาษณ์ที่งาน Teen Vogue Summit ว่าเธอเคยทำงานให้ค่ายหนัง Miramax ในยุคที่ฮาร์วีย์เคยเป็นเจ้าของ และเธอเองก็ได้รู้ถึงวัฒนธรรมข่มขืนของฮอลลีวูด ซึ่งคดีของฮาร์วีย์ก็กลายเป็นหนึ่งในสิ่งที่ในกองถ่ายพูดคุยกันตอนถ่ายทำ
เพราะตัวละครไบรซ์ที่ถูกโฟกัสมากขึ้นในซีซันนี้ ทำให้เกิดอีกหนึ่งตัวละครใหม่ที่น่าศึกษาและมีกราฟชีวิตในเรื่องที่สะท้อนปัญหาหลายจุดก็คือแฟนใหม่ช่ีอ โคลอี้ (รับบทโดย แอน วินเทอร์ส) เธอเป็นหัวหน้าทีมเชียร์ลีดเดอร์ ซึ่งในช่วงแรกของเรื่อง เราจะทำความรู้จักโคลอี้พร้อมอุปนิสัยและภาพลักษณ์แบบเดิมๆ เช่น ผมบลอนด์ ตาสีฟ้า และมีความพยายามเป็นนางพญา แต่พอเธอเริ่มเห็นธาตุแท้ของแฟนตัวเองกับการกระทำต่างๆ โคลอี้เริ่มเข้าใจหัวอกของเจสสิก้าที่โดนไบรซ์ข่มขืนและถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าเธอยินยอม แต่เพราะความรักและการติดกับเรื่องวัตถุนิยมที่ไบรซ์ได้วาดฝันให้เธอ เราก็ต้องดูว่าโคลอี้จะเลือกเส้นทางใดต่อไป
ส่วนอีกหนึ่งตัวละครจากก๊วนเพื่อนทีมเบสบอลของไบรซ์ที่จะสร้างความฮือฮา และเราจะได้เห็นมิติใหม่อย่างสิ้นเชิงในซีซันนี้ก็คือ แซค เดมป์ซีย์ (รับบทโดย รอสส์ บัตเลอร์) กับการให้ปากคำในศาลที่แม้คนดูอาจจะเริ่มสามารถเชื่อมโยงจุดต่างๆ เข้าด้วยกันได้ แต่พอแซคบอกเล่าเรื่องราวของเขาก็ทำให้เราต้องคิดใหม่!
นักแสดง
สำหรับบทบาทของนักแสดงในซีซันนี้ ถือว่าเฉลี่ยความเด่นให้อย่างทั่วถึง นอกจาก ดีแลน มินเนต และ แคทเธอรีน แลงฟอร์ด ในบทเคลย์และแฮนนา ที่ยังคงรักษาเคมีระหว่างตัวละครได้ยอดเยี่ยมแล้ว ในซีซันนี้ ตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในหลายๆตอนมากขึ้นคงหนีไม่พ้นบท เจสสิกา ของ เอไลชา โบ ที่พูดถึงประเด็น Me Too โดยตรง รวมถึงตัวละคร ไทเลอร์ ของ เดวิน ดรูอิด ที่พลิกจากบทตัวประกอบกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องจนต้องสานต่อในซีซันถัดไป นอกจากนี้ รอสส์ บัตเลอร์ หนุ่มตี๋สุดหล่อ ยังขยันขโมยหัวใจสาวๆในบท แซค ที่ซีซันนี้นอกจากจะเปิดเผยเรื่องราวของเขากับแฮนนามากขึ้น บทบาทการเป็นพี่เลี้ยงดูแล อเล็กซ์ ที่รับบทโดย ไมลส์ เฮเซอร์ ยังแอบซ่อนอารมณ์จิ้นจนสาววายอดใจต่อเรือให้ไม่ได้เลยจริง ๆ
จะไม่ให้พูดถึง เคลย์ อีกหนึ่งนักแสดงนำและพระเอกในใจหลายๆ คนก็คงไม่ได้ ซึ่งในซีซันนี้เรายังคงเห็นเขาต้องต่อสู้กับความรู้สึกตัวเองที่อยากเดินหน้าต่อกับแฟนใหม่ สกาย มิลเลอร์ (รับบทโดย โซซี เบคอน) แต่ใจก็ยังไม่สามารถปล่อยวางจากฮันนาห์ได้ ขณะเดียวกันก็ยังอยากสู้เพื่อหาความยุติธรรมมาให้เธอ แต่ต้องเตือนแฟนคลับก่อนว่าในซีซันนี้บทบาทอาจลดลงถ้าเทียบกับภาคแรก แต่นั่นก็ไม่ได้แปลว่าสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้จากประสบการณ์ของตัวละครนี้จะไม่สร้างอิมแพ็ก
ปิดท้ายที่ตัวละครซึ่งหลายคนอาจมองข้ามหรือไม่ได้นึกถึงมากอย่าง ไทเลอร์ ดาวน์ (รับบทโดย เดวิน ดรูอิด) ช่างภาพประจำรุ่นที่แอบถ่ายรูปของฮันนาห์ในซีซันแรก ในภาคใหม่เขาคือตัวแทนของบุคคลที่เลือกจะปรับเปลี่ยนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นจากเหตุการณ์อันเลวร้ายและโตจากมัน ซึ่งดูหนังผ่านเน็ตต้องชื่นชมผู้สร้างอีกรอบที่ไม่พยายามทำให้ตัวละครจมปลักอยู่กับความทุกข์อย่างเดียว และทำให้เห็นว่าสำหรับบางคนก็มีแสงสว่างที่เล็ดลอดออกมา แต่พอคนเรามีความกล้าหาญขึ้น นอกคอกขึ้น เราจะรู้ลิมิตตัวเองเหรอไม่ นั่นคือสิ่งที่ตัวละครไทเลอร์สะท้อน
ข้อดี
อย่างหนึ่งที่ต้องชื่นชมกับตัวละครแซคคือการที่ผู้สร้างเลือกให้นักแสดงเป็นคนเอเชีย และในซีซันนี้ได้สร้างบรรยากาศ ความละเอียดอ่อน และบริบทของครอบครัวที่มีความกดดันแบบครอบครัวสไตล์เอเชีย ซึ่งคนไทยน่าจะเข้าใจกันดี แถมตัวละครแซคเองก็มีความแข็งนอกอ่อนในที่มาพร้อมความเซนสิทีฟสูงแบบอยากช่วยเหลือผู้อื่น เช่น ตัวละคร อเล็กซ์ สแตนดัลล์ (รับบทโดย ไมล์ส ไฮเซอร์) ที่ในซีซันนี้ต้องกายภาพบำบัดและพยายามทำให้ร่างกายพร้อมที่จะไปให้ปากคำในศาล แต่ในขณะเดียวกัน แซคก็ยังคงดูไม่เป็นตัวของตัวเองและเลือกที่จะคบหากับไบรซ์ ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะหลายคนในช่วงวัยเรียนก็มักอยากอยู่กับกลุ่มที่ป๊อปปูลาร์ เพราะอยากได้รับการยกย่องจากเด็กคนอื่น
ข้อเสีย
เอาล่ะ ชมมาก็พอควรทีนี้ข้อเสียสำคัญของซีรีส์ที่ขัดใจแอดไม่น้อยคงหนีไม่พ้นซับพลอต ความรักครั้งใหม่ของ เคลย์ กับ สกาย สาวพังก์โดยที่เขายังไม่ลืมแฮนนา เพราะความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดูขาดความน่าเชื่อถือไปหน่อยค่ะ ส่วนอีกจุดที่ขัดใจน่าจะเป็นตอนท้ายเรื่องที่ซีรีส์ดูจงใจลากยาวให้มีซีซัน 3 และทำท่าว่าเรื่องราวจะออกทะเลไปใหญ่โตทีเดียว
สรุป
แต่ถึงอย่างไรก็ต้องยอมรับว่า ซีซัน2 ของ 13 Reasons Why ได้แสดงให้เห็นถึงความชาญฉลาดของทีมเขียนบท และการได้ เกร็ก อารากิ ผู้กำกับหนังดราม่าอินดี้อย่าง Mysterious Skin (2004) มากำกับ 2 ตอนแรกก็ช่วยให้การปูพื้นข้อมูลและกำหนดโทนเรื่องของซีซัน 2 มีความน่าสนใจและเปิดปมให้คนดูได้ตามต่อไว้อย่างแยบคาย และเหนืออันใด ซีรีส์เรื่องนี้ยังมุ่งให้คนดูได้เข้าใจปัญหาของวัยรุ่นทั้ง ความรุนแรงในโรงเรียนและปัญหาสุขภาพจิตได้อย่างเหนือเชื่อถือและปราศจากท่าทียัดเยียดได้ดี
Comments