โลกมันห่วยช่วยไม่ได้
รีวิว The End of The Fxxxing World Season 2 - โลกมันห่วยช่วยไม่ได้
หลัง The End of The Fxxxing World ซีซันแรกเกิดฮิตระเบิดระเบ้อด้วยเนื้อหาโดนใจวัยรุ่นยุคนี้ ทำให้ ชาร์ลี โคเวล ผู้สร้างสรรค์ได้กลับมาสานต่อเรื่องราวของ เอลิสซา กับ เจมส์ อีกครั้งหลังทำร้ายจิตใจคนดูอย่างยิ่งในตอนจบซีซันแรก โดยอาศัยตัวละครใหม่อย่างบอนนี สาวผิวสีที่เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับศาสตราจารย์ไคล์ฟ (โจนาธาน เอริส) คือความรัก และหลังจากรู้ตัวว่าฆาตกรคือ เอลิสซา กับ เจมส์ เธอจึงวางแผนปลิดชีพพวกเขาเพื่อชดเชยหัวใจที่แตกสลายของเธอ รีวิว The End of The Fxxxing World 2
เรื่องย่อ
หลังมีเหตุให้ต้องจากกัน เอลิสซา (เจสสิกา บาร์เดน) ก็ใช้ชีวิตไร้จุดหมายไปจนกระทั่งถึงวันแต่งงานที่ เจมส์ (อเล็กซ์ ลอว์เธอร์) โผล่เข้ามาในชีวิตจนเธอหนีงานแต่งแล้วออกเดินทางอีกครั้ง และระหว่างทางนั้นเองที่ทั้งคู่ได้รับตัว บอนนี (นาโอมี แอคคี) เพื่อนร่วมทางคนใหม่ที่หวังฆ่าพวกเขาเพื่อล้างแค้นให้ชายคนรัก
หลังจากที่ได้ประกาศเปิดตัวซีซั่นที่สองผู้เขียนบท และเจ้าของออริจินัลคอมมิค Charlie Covell ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับซีซั่นนี้ไว้ว่า “หลังจากตอนจบชวนช็อคของซีซั่นที่แล้ว มีบางสิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน แต่สิ่งที่คาดคิด อาจจะไม่เป็นอย่างที่คิด” ซึ่งหลังจากที่ได้ดู มันก็เป็นตามที่ผู้เขียนว่าไว้จริงๆ
เนื่องจากว่าซีซั่นแรกฉายไปเมื่อ 2017 แล้วฉายอีกทีปี 2019 สองปีพอดี ทำให้เหตุการณ์ในซีรีส์จะ Skip มาเป็นสองปีให้หลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก และภาคนี้จะเน้นหนักไปทางด้านการดำเนินเรื่องแบบ BAD JOKE แนวไล่ล่ามากขึ้น เพราะได้เพิ่มตัวละครใหม่อย่าง Bonnie ที่ต้องการจะทำอะไรบางอย่างกับ Alyssa ซึ่งเธอได้หนีไปใช้ชีวิตอันเรียบง่าย และเงียบสงบอยู่ที่บ้านนอกหลังจากผ่านเหตุการณ์วุ่นวายกับ James
เหตุการณ์ในซีรีส์ผ่านไปสองปี ตัวละครในเรื่องก็โตขึ้น บุคลิคบางอย่างเปลี่ยนไป เนื่องจากปมในอดีตที่พวกเขาก่อขึ้นที่มันยังติดค้างอยู่ในใจ ถ้าหากใครที่ชอบเรื่องราวความรักวัยรุ่น และความห่ามๆ ของทั้งสอง บอกเลยว่าซีซั่นนี้อาจจะไม่ถูกใจคุณเท่าไหร่ แต่คุณก็จะได้เห็นว่าพัฒนาการของคนเราเมื่อผ่านช่วงวัยรุ่น เข้าสู่ช่วงผู้ใหญ่ ผ่านตัวละครหลักในเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง
ใน The End of the F***ing World Season 2 การมาของตัวละครใหม่อย่างบอนนี่เอง ก็เพิ่มสีสันให้กับเรื่องอย่างมากเลยทีเดียว และยังคงความจิกกัดเกี่ยวกับครอบครัวไว้นิดๆ แบบภาคแรก ซึ่งตอนแรกของซีซั่นสองจะเล่าเรื่องราวของเธอเต็มๆ เลยว่า เป็นใคร มาจากไหน ทำไมซีซั่นแรกถึงไม่โผล่มา แล้วภาคนี้เธอต้องการอะไรกันแน่
ถ้าว่ากันโดยเนื้อหาแล้วตัวซีรีส์ในซีซันนี้ไม่ได้มีเหตุการณ์อะไรที่คืบหน้ามากมายนัก โดยเราจะได้เห็นชะตากรรมของทั้ง เอลิสซา และ เจมส์ ที่ถูกผู้ใหญ่จับแยกกัน โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่แม่ของเธอถึงกับทำทุกทางให้ เจมส์ อยู่ห่างจากลูกสาวของตน ในขณะที่เจมส์เองก็เริ่มลิ้มรสความสูญเสียเมื่อพ่อมาจากไปจากอาการหัวใจวาย ทิ้งไว้เพียงเถ้ากระดูกที่เขาต้องนำไปโปรยยังสวนสาธารณะที่พ่อกับแม่พบรักกันครั้งแรก
ซึ่งทำให้ซีซันนี้โฟกัสจะอยู่ที่ตัวละคร เอลิสซา เป็นหลักเพราะเราจะได้เห็นชีวิตที่ไร้อิสระของเธอในตอนแรก ๆ ของซีรีส์ ที่แม่หอบเธอไปอาศัยญาติอยู่และเธอตกลงแต่งงานกับหนุ่มล่ำที่เธอเจอไม่นานเพียงเพื่อถมช่องว่างที่เจมส์เคยอยู่ในหัวใจ ซึ่งบอกตามตรงว่าในฐานะคนดูผู้ชาย เราติดจะคิดลบกับ เอลิสซา ไม่น้อยเพราะลำพังแค่เธอไปลากคนอื่นมาแต่งงานแล้วหนีมาแบบเจ้าสาวกลัวฝนนี่ก็ผิดแล้ว
แต่กับเจมส์เธอยังเฉยชาและทำร้ายจิตใจสารพัดทั้งที่เขาเพิ่งบอบช้ำจากการสูญเสียพ่อมา จนหลายคนแทบจะเกลียดเธอไปเลย ยังดีที่มีปมเรื่องจดหมายบอกเลิกที่ทำให้การกระทำของเธอยังพอน่าเห็นใจอยู่บ้าง และที่สำคัญการเพิ่มตัวละครใหม่ที่มีปมน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว
บอนนี ตัวละครใหม่ที่ต้องบอกว่าหากขาดเธอก็ไม่มีซีซัน 2 และปมที่ ชาร์ลี โคเวล วางไว้ให้เธอก็หนักแน่นและชวนกระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะการตกหลุมรักผู้ใหญ่อย่างศาสตราจารย์ไคล์ฟ ที่ใช้คำหวานมาปิดหูปิดตาเธอจากความจริงจนเธอติดคุกเพราะก่อคดีฆาตกรรมเพื่อเขา ก็ทำให้เราอดเห็นใจเธอไม่ได้
แม้ว่าโดยตำแหน่งในบทซีรีส์แล้ว เธอก็ไม่ต่างจากผู้ร้ายที่จะมาฆ่าตัวเอกอย่าง เอลิสซา และ เจมส์ แต่ด้วยบุคลิกที่ห่างจากฆาตกรจิตโหดและปมในใจที่ชวนให้เราใจสลายไปกับเธอไม่น้อยก็ทำให้เราเห็นใจเธอได้แม้จะแอบลุ้นให้เธอฆ่าตัวละครนำไม่สำเร็จด้วยก็ตาม
ด้านความรุนแรงและเหตุการณ์โอละพ่อที่นำมาซึ่งฉากฆ่าโหด ๆ ในซีซันนี้ยังมีมาเช่นเคย โดยซีรีส์ได้โยนเรื่องราวส่วนนี้ไปให้ บอนนี ที่ดันก่อคดีโหดไม่รู้ตัว ซึ่งด้วยการดูหนังแสดงระดับสุดยอดของ นาโอมิ แอคคี ก็ถือว่าทำให้เราไม่อาจไว้ใจตัวละครได้ตลอดเวลา แต่ก็ยังไม่ลืมเติมความลึกและน่าเห็นใจเมื่อได้เห็นว่า ความรักทำให้เธอตาบอด ได้อย่างน่าสงสารที่สุดจริง ๆ
และคงไม่เกินเลยหากจะบอกว่าซีซันนี้ แอคคี แทบจะขโมยเรื่องราวทั้งซีซันมาเป็นของเธอ เพราะซีนสนุก ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจากเธอนี่แหละ ส่วน เจสสิกา บาร์เดน ก็ทำให้ เอลิสซา เปี่ยมเสน่ห์ด้วยบุคลิกหน้าตายและรูปร่างผอมเพรียวแบบนางแบบวัยรุ่น แม้ว่าการแสดงของเธอจะไม่ได้มีพัฒนาการต่างจากเดิมเท่าใดนักก็ตาม
ส่วน อเล็กซ์ ลอว์เธอร์ ได้เวลาบนจอน้อยไปหน่อยและปมของตัวละครก็เบาบางจนแทบไม่มีอะไรให้ลุ้นตามเท่าไหร่ ต่างจากซีซันแรกที่เขาแทบจะเป็นหัวใจของเรื่องเพราะเล่าผ่านมุมมองวิปริตแบบแอนตีฮีโรวัยกระเตาะนั่นเอง
ทำไมโลกนี้ไม่เว้นพื้นที่ความสุขให้เราได้ยืนบ้าง
หากจะบอกว่าซีซั่นแรกถูกขับเคลื่อนด้วยความไม่รู้สึกรู้สา ไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง ไม่เห็นว่ามีใครต้องต้องการเรา ไม่เห็นว่าเราจะเป็นใครที่มีหัวใจไปมากกว่านี้ได้ ซีซั่นสองก็ขับเคลื่อนไปด้วยบาดแผลที่สาหัสกว่าเดิมจากเรื่องราวที่ผ่านมา เสียงปืนที่ดังขึ้นในตอนจบไม่ได้พรากชีวิตใครไป แต่พรากให้เจมส์และอลิสซาต้องห่างจากกัน ทั้งสองกลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว ซึ่งแทนที่ทุกอย่างจะถูกเติมเต็ม มันกลับเหว้าแหว่งไม่ต่างจากเดิม
ซีซั่นสองเปิดมาด้วยตัวละครใหม่อย่างบอนนี่ เด็กสาวที่เพิ่งออกมาจากเรือนจำ เธอเปิดเผยอย่างไม่ปิดบังว่าเคยฆ่าคน และกำลังจะไปฆ่าใครคนอื่นอีก และมันจะเป็นใครไปได้นอกจากเจมส์และอลิสซา บอนนี่เป็นเด็กสาวที่มีบุคลิกแปลกๆ ไม่ต่างจากทั้งสองในตอนเริ่มต้น เธอไม่เป็นที่ยอมรับ ครอบครัวขาดความอบอุ่น มีปมบาดแผลที่ไม่ได้รับการเยียวยา
แต่แล้วเธอก็พบใครคนหนึ่งที่อ้าแขนรับเธอเข้าไป นั่นคือศาสตราจารย์ไคลฟ์ โดยที่บอนนี่ไม่เอะใจเลยสักนิดกับพฤติกรรมของเขา ทั้งยังเชื่อทุกคำพูดจนหมดใจ และนี่คือสาเหตุที่ทำให้เธอลงมือฆ่าคน เธอหวังว่าเขาจะรักเธอจริงๆ ไม่ใช่แค่การหลับนอนแล้วผ่านเลย ในระหว่างที่ติดอยู่ในคุก ทุกอย่างก็สมดั่งใจเธอ ไคลฟ์บอกว่าเขารักเธอเข้าแล้ว ซึ่งก็ไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าเขาพูดจริง เพราะเขาตายไปเสียก่อนที่บอนนี่จะได้กลับมาสู่อ้อมอก ดังนั้นเมื่อพ้นโทษ เธอจึงไม่ลังเลที่จะออกตามหาและล้างแค้นเจมส์กับอลิสซา
โลกเป็นของใครไม่รู้ แต่ความเจ็บปวดเป็นของเรา
1) ในวันที่ไม่เหลือใคร
บางทีการตายไปอาจง่ายกว่าสำหรับเจมส์ก็ได้ เพราะเมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็ต้องพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลนานเอาการ เขาเดินไม่ได้ พบใครไม่ได้ อลิสซาก็มาเจอไม่ได้อย่างเด็ดขาด เจมส์จึงกลับมาโดดเดี่ยวอีกครั้ง แต่อย่างน้อยๆ พ่อเขาก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าที่ผ่านมาเจมส์รู้สึกอย่างไร และเล่าความรู้สึกของตัวเองให้ลูกฟัง ฟ้าหลังฝนเกือบๆ สดใส
หากว่าพ่อของเขาไม่จากไปอย่างกระทันหัน จากที่เจมส์เคยหนีออกจากบ้าน เพราะไม่อยากอยู่ที่นี่ ตอนนี้ต่อให้เขาอยากเข้าไปมากแค่ไหนก็ทำไม่ได้ เพราะสถานที่แห่งนี้มีแต่ความเศร้ามากเกินไป ทุกๆ ครั้งที่ต้องมีใครสักคนหายไปจากชีวิตเจมส์ มันมักเป็นเรื่องที่เขาไม่ทันตั้งตัวได้เสมอ นับตั้งแต่แม่ อลิสซา และพ่อ
ลูกปืนนัดนั้นถือเป็นจุดสิ้นสุดของทุกอย่าง แต่ลูกปืนนัดใหม่ทำให้เขาได้เริ่มต้นอีกครั้ง เพราะเจมส์ใช้มันเป็นการกล่าวอ้างในการพาตัวเองไปหาอลิสซา โดยหอบหิ้วเถ้ากระดูกของพ่อไปด้วย เขายังไม่รู้จะจัดการกับความเสียใจนี้ได้อย่างไร มันยากเกินไปกับการที่ต้องรับมือทุกอย่างตามลำพัง เขาจึงขับรถทางไกลเพื่อไปหยุดอยู่ตรงหน้าอลิสซา พร้อมกับหวังว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะยังมีความหมายกับหัวใจ “เรา”
2) ฉันจะหนีความเจ็บปวดได้อย่างไร
เมื่อเราเลือกที่จะลืมอะไรบางอย่าง เรามักหาสิ่งใหม่มาแทนที่เพื่อให้ทุกอย่างดูง่ายดายขึ้น ดังนั้นแม่ของอลิสซาจึงพาเธอหนีความวุ่นวายไปอยู่บ้านป้า ซึ่งเปิดร้านอาหารเป็นของตัวเองท่ามกลางป่าเขา อลิสซาไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าไร แต่เธอก็พยายามที่จะไม่ทำให้แม่ต้องกังวลใจ
และเลือกที่จะทำสิ่งเดียวกับที่แม่ทำ คือการหาสิ่งใหม่มาแทนที่สิ่งเก่า เพื่อที่จะลบล้างอดีตที่ยังคงตามมาหลอกหลอนอยู่กวัน เธอกล่อมตัวเองว่าไม่ได้รู้สึกอะไรกับเจมส์แล้ว และเริ่มพูดคุยกับหนุ่มคนใหม่ ในไม่ช้าเธอก็เป็นฝ่ายถามเขาว่าแต่งงานกันดีไหม ซึ่งเขาตอบตกลงในทันที
งานแต่งงานจัดขึ้นหลังจากวันที่เจมส์โผล่หน้ามาที่นี่ ความปั่นป่วนทั้งหลายจึงแปรเปลี่ยน ทุกอย่างมันดูขาดชีวิตชีวาไปหมด อลิสซาควรจะเป็นเจ้าสาวที่มีความสุข แต่เธอกลับทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ตลอดเวลา จนในที่สุดเธอก็เดินออกมาจากงานแต่งดื้อๆ แล้วบอกกับเจมส์ว่า “ไปจากที่นี่กัน” อลิสซาไม่ได้คิดแผนการอะไรไปมากกว่านั้น เธอแค่อยากไปจากที่นี่จริงๆ
แต่การพบกับเจมส์ก็เหมือนเป็นดาบสองคม มันปลุกความทรงจำทุกอย่าง ทั้งเรื่องของพวกเขา และเรื่องของไคลฟ์ ฝันร้ายที่ขังเธอไว้ในบ้านหลังนั้น การถูกล่วงละเมิดทางเพศสร้างบาดแผลรุนแรงให้กับอลิสซา มันกัดกินหัวใจของเธอแทบจะทุกขณะ เธอไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องนี้กับใคร ไม่รู้ว่าจะเยียวยาหัวใจอย่างไร ไม่รู้ว่าวันหนึ่งวันใดถึงจะเข้มแข็งพอ การแสร้งว่า “ลืมๆ มันไป” ไม่เพียงพอจะทำให้ความเจ็บปวดลดลง เพราะไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังส่งผลกับเธออยู่ดี
3) ถึงเวลาต้องหันกลับมารักตัวเองแล้วหรือยัง
การปรากฎตัวของบอนนี่เป็นกุญแจสำคัญในการดำเนินเรื่องของซีซั่นสอง เธอเป็นเด็กที่ถูกแม่เข้มงวดมาตั้งแต่เด็ก ถูกตั้งความหวังไว้ว่าจะกลายเป็นเด็กสาวอนาคตไกล และถูกแม่กีดกันทุกอย่างที่คิดว่าไม่เป็นประโยชน์ออกจากตัวลูก ค่านิยมผิดๆ จึงถูกปลูกฝังมากับการเลี้ยงดู บอนนี่โหยหาความรัก โปรแกรมหนังต้องการความอบอุ่น ปรารถนาที่จะเป็นคนสำคัญ
เมื่อไคลฟ์เป็นผู้ให้สิ่งนั้นแก่เธอ เธอก็แทบไม่เคยตั้งคำถามกับมันเลย เพราะนั่นคือสิ่งที่เธออยากได้มาตลอด ฉะนั้นเมื่อไคลฟ์ถึงแก่ความตาย หัวใจบอนนี่จึงแตกสลาย เจมส์กับอลิสซาเป็นใครถึงมาพรากความรักไปจากเธอ ฉะนั้น ทั้งคู่ต้องรับผิดชอบด้วยการตายตามเขาไป
บอนนี่ไม่ได้เกิดมาเพื่อเป็นฆาตกร เธอแค่เกิดมาแล้วต้องการปัจจัยพื้นฐานอย่างที่เราทุกคนควรจะได้รับ หากยกทฤษฎีของมาสโลว์ (Maslow’s hierarchy of human needs) มากล่าวก็คงจะประกอบไปด้วย ความต้องการทางร่างกาย, ความปลอดภัยและมั่นคง, ความผูกพันและการยอมรับ, การยกย่อง และความสำเร็จในชีวิต แต่บอนนี่ไม่เคยได้รับอะไรเลย เธอไม่รู้ว่าความรักที่แท้จริงหน้าตาเป็นอย่างไร จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะถูกเอาเปรียบได้โดยง่ายจากความรักจอมปลอมของไคลฟ์
แผนการแก้แค้นของบอนนี่เกือบจะสำเร็จ ปืนอีกนัดเกือบจะถูกลั่นออกจากไก ถ้าระหว่างนั้นเธอไม่เลือกที่จะพูดคุยกับอลิสซา ซึ่งมันทำให้เธอได้รับรู้ความจริงในสิ่งที่เธอมองข้ามมาตลอด ความจริงที่ไคลฟ์ใช้ประโยชน์จากเธอ ความจริงที่ไคลฟ์ไม่ได้รักเธอ ความจริงที่ไคลฟ์ทำร้ายเด็กสาวคนอื่นอีกหลายคน เธอเป็นแค่คนโชคดีที่รอดจากการทารุณกรรมทางเพศมาได้
ในขณะที่เด็กสาวอีกหลายคนไม่มีวันได้กลับออกมาจากบ้านหลังนั้นอย่างอยู่รอดปลอดภัย บอนนี่เลือกที่จะไม่ลั่นไกใส่ทั้งสองอย่างที่คิดไว้ แต่หันปากประบอกเข้าตัวเอง เพราะเธอหมดหนทางจะรับมือกับความเจ็บปวดทั้งหมดนี้แล้ว เธอขอยอมแพ้ให้กับโลกที่ไม่เคยสอนให้เธอรักตัวเองได้เลย
ยังไงซะโลกห่วยๆ ก็ยังจะคงหมุนต่อไป
พวกเราล้วนหลอกตัวเองว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้สวย ไม่ว่าจะการเรียน การงาน ความสัมพันธ์ ครอบครัว ซึ่งในจังหวะหนึ่งเราก็จะรู้ว่ามันไม่เป็นจริงดังนั้นไปตลอดรอดฝั่งหรอก เดี๋ยวโลกก็จะลั่นไกใส่เราเอง แล้วเมื่อเราล้ม เราก็เลือกทำได้เพียงสองอย่าง หนึ่ง นอนรอความตาย และสอง สะบักสะบอมลุกขึ้นมา
เราชอบที่ในตอนท้ายๆ ซีรีส์มันเผยให้เราเห็นความอ่อนแอของทุกๆ คน บอนนี่ – เด็กสาวที่ไม่เคยสัมผัสกับความรัก, อลิสซา – เด็กสาวที่ติดอยู่กับความทรงจำของฤดูกาลที่ผ่านมา และเจมส์ – เด็กหนุ่มที่แบกความสูญเสียไว้มากมาย โดยเฉพาะในตอนท้ายที่เขาไปตามหาอลิสซา
แล้วพบว่าเธออยู่ในบ้านหลังนั้น เขาคิดว่าเธอจะทำในสิ่งเดียวกับที่แม่ทำ ไม่เช่นนั้นเขาคงหมดสิ้นทุกอย่างไปจริงๆ ประโยคที่เจมส์พูดกับอลิสซาว่า “เราออกไปจากที่นี่ได้ไหม” จึงไม่ได้มีความหมายแค่เป็นการพาร่างกายออกไปจากที่นี่ แต่หมายถึงจิตใจของพวกเขาด้วย ออกไปจากบ้านหลังนี้ ออกไปมีกันและกัน ออกไปรักษาหัวใจที่บอบช้ำ ออกไปฟาดฟันกับโลกห่วยๆ ใบนี้
Comments