รีวิว Us - หลอนลวงเรา
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหนังเรื่องนี้พ่วงมากับชื่อผู้กำกับอย่าง Jordan Peele ก็ทำให้อยากดูแล้ว เพราะจากฝีมือในเรื่อง Get Out แล้ว ต้องบอกเลยว่างานพี่แกเทพจริงๆ และพอได้ดูเรื่องนี้จบ ก็ต้องบอกได้อย่างเต็มปากเต็มคำเลยว่า จากเรื่องนั้นเฮียแกไม่ได้ฟลุ๊ค ฝีมือล้วนๆ !!! รีวิว Us
เรื่อง
เป็นเรื่องราวของ อเดลเล็ด (ลูปิตา ยองโง) และ เก๊บ (วินสตัน ดุ๊ก) โดยพวกเขาทั้งคู่ได้พาลูก ๆ ทั้งสองกลับมายังชายหาดบ้านเกิดในวัยเด็กของอเดลเล็ด ในวันหยุดพักร้อน ณ ตอนเหนือของรัฐ
แคลิฟอร์เนีย หลังจากในตอนกลางวันที่พวกเขาได้สนุกกันบนชายหาดร่วมกับครอบครัวตระกูลไทเลอร์ (นำแสดงโดย เอลิซาเบธ มอส และ ทิม ไฮเดกเกอร์) อเดลเล็ดก็เริ่มรู้สึกหลอนกับความทรงจำวัยเด็ก และมันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความหวาดระแวงว่าจะมีบางอย่างร้าย ๆ เกิดขึ้นกับครอบครัวของเธอ เมื่อตะวันตกดิน ฟ้ามืดลงในตอนค่ำ วิลสันก็ได้เห็นคน 4 คนยืนจับมือกันอยู่อย่างเงียบ ๆ บนถนนหน้าบ้านที่พวกเขาอาศัยอยู่…. และทั้ง 4 คนนั้นหน้าตาก็เหมือนกับพวกเขา
การกลับมาอีกครั้งหลังจาก Get Out หนังสยองขวัญผลงานเปิดตัวของ ผกก. จอร์แดน พีล ที่ได้ออสการ์ พร้อมกระแสความนิยมจากคนดูอย่างท่วมท้น เรียกว่ากลายเป็น ผกก. ดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดคนหนึ่งทีเดียว และสำหรับ Us นั้นก็เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเรื่องก่อนหน้าเสียอีก
เพราะหนังสามารถขึ้นเป็นหนังเรต R เนื้อหาดั้งเดิม ที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดตลอดกาลในสหรัฐ ทั้งยังเป็นหนังคนแสดงเนื้อหาดั้งเดิมที่ทำรายได้เปิดตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี นับจากหนัง Avatar ของ เจมส์ คาเมรอน และเป็นหนังสยองขวัญที่เปิดตัวด้วยรายได้สูงสุดตลอดกาลอันดับ 3 จากหนังสยองขวัญทั้งหมดเป็นรองแค่ IT และ Halloween ด้วย
ด้วยบารมีที่มากขึ้นของ พีล รอบนี้จึงได้นักแสดงเบอร์ใหญ่ระดับต้นของฮอลลีวู้ดอย่าง ลูปิตา ยองโง มาแสดงนำ และต้องนับเป็นการแสดงที่ท้าทายของเธออีกครั้ง เพราะรอบนี้ต้องรับบททั้งแม่ที่ต้องปกป้องครอบครัว และเป้นปีศาจร้ายจิตคลั่งที่หน้าตาเหมือนกัน คือต้องยอมรับว่านักแสดงสายเลือดแอฟริกัน-เอมริกัน นั้นถ่ายทอดความจิตหลอนได้ดีมาก ด้วยลักษณะของดวงตาที่เบิกโพลงได้มากบนใบหน้าสีเข้ม ที่ขับเน้นความหวาดกลัวและการคุกคามผ่านสายตาได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือลายเซ็นหนึ่งที่พีลดึงมาใช้ในหนังตัวเองอย่างลงตัว
นอกจากนั้น พีล ยังอาจนับว่าเป็นอัจฉริยะในการคุกคามผู้ชมด้วยสไตล์อันเอกอุ ชวนให้นึกถึงผู้กำกับ สแตนเลย์ คูบริก สมัยที่ทำ the Shining คือสามารถใช้วิช่วลด้านภาพที่ไม่ต้องอาศัยการทำเสียงตึงตังให้ตกใจ แต่ค่อย ๆ หลอนเรามากขึ้น ๆ
ในขณะเดียวกันลายเซ็นด้านรสนิยมการใช้ดนตรีและเสียงประกอบคือไม้ตายความสำเร็จที่ทำให้หนังสยองของพีลโดดเด่นและน่าจดจำมาก ๆ ในเรื่อง Us นี้เราจะได้เห็นความชัดเจนในเอกลักษณ์ของพีลมากขึ้น และเชื่อว่าน่าจะชัดมากขึ้น ๆ ในหนังหลังจากนี้ เขาน่าจะเป็นผู้กำกับสายทฤษฎีประพันธกร (Auteur) ที่ชัดแจ้งอีกคนในยุคนี้ด้วยหากมีผลงานมากพอ
กลับมาที่ตัวหนังนอกจากด้านงานโปรดักชั่นที่ยืนหนึ่งแล้ว สูตรสำเร็จของพีลคือการเป็นหนังที่คาดเดาอะไรได้ยาก เช่นเดียวกับหนังของ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ซึ่งต้องแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ความเหนือคาดด้านพล็อตแบบหนังอย่าง The Village และความเหนือคาดในการหักมุมของฉากไคลแม็กซ์อย่าง The Sixth Sense
แต่สำหรับเรื่อง Us นี้ต้องยอมรับว่า ที่ได้ดูจากตัวอย่างนั่นเป็นเพียง 20-30% ของพล็อตทั้งหมดเท่านั้น หนังมันไปไกลจนเราต้องตกใจว่ามันเป็นหนังพรรค์นี้เหรอ(วะ)เนี่ย ความเหนือคาดด้านการหักมุมสุดท้ายของหนังอาจไม่ใช่อะไรที่ว้าวหรือเดาไม่ได้ (คิดว่าคอหนังหักมุมน่าจะเดาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง)
จริงๆ แล้วหนังมันมีอะไรเยอะกว่านั้นมากกกกกกกก ที่เห็นในตัวอย่างมันแค่ส่วนน้อยเท่านั้น มันเจ๋งตั้งแต่คอนเซ็ป ไอเดีย และชื่อเรื่องแล้ว โดยคำว่า Us จะอ่านว่า “อัส” ที่แปลว่า “เรา” ก็ได้ หรือจะเป็น U-s ที่ย่อมาจาก United State ก็ไม่ผิด เพราะหนังสะท้อนสภาพสังคมอเมริกาได้เป็นอย่างดี โดยที่คนอเมริกาน่าจะอินกว่าทางฝั่งเราแน่นอน แต่ถึงจะอย่างนั้นมันก็ยังเป็นหนังระทึกขวัญ ไล่ล่า ที่ตื่นเต้น สนุก และหลอนไม่ใช่เล่น
บทที่ถูกวางแผนมาเป็นอย่างดี หนังทำให้เราสงสัยได้ตลอดทั้งเรื่อง คือเราไม่รู้อะไรเลย คาดเดาอะไรไม่ได้ตั้งแต่ต้นจนเกือบจะจบเรื่อง เราจะเกิดข้อสงสัยอยู่ตลอดเวลาในหลายๆ เหตุการณ์ อารมณ์แบบ “อะไรวะ” แม้กระทั้งจบไปแล้วเราก็อาจจะ “อะไรวะ” อยู่ดี คือหนังจบและคนไม่จบ เราต้องมานั่งคุยกันตีความได้อย่างเพลิดเพลิน สงสัยกับประเด็นตอนจบและหลายเรื่อง
แต่พอมานั่งย้อนคิดดูดีๆ ก็ต้องถึงบางอ้อ...เพราะหลายๆ อย่างมันก็สมเหตุสมผลเหมือนกัน หนังมันไม่ได้เข้าถึงและเข้าใจง่ายเหมือน Get Out แต่มันจะมีสัญญะแฝงเข้าไปให้เราตีความได้อยู่สนุกเลยทีเดียว (ถึงหนังมันจะจบแบบนั้น หลายคนอาจจะงง ไม่เข้าใจ ไม่ชอบ แต่สำหรับเราชอบมาก และมันมีเหตุผลรองรับอยู่ดีเลยทีเดียว)
หนังมีจังหวะการดำเนินเรื่องที่โคตรดี คือไม่มีจุดไหนของหนังน่าเบื่อเลยแม้แต่น้อย หนังจะมีจังหวะให้เราตื่นเต้น ลุ้น อยู่เกือบตลอดทั้งเรื่อง บางฉากต้องบอกเลยว่าหลอนไม่ใช่เล่น โดยเฉพาะสีหน้าของตัวละครแต่ละตัว ที่เป็นตัวละครผิวสีตาโต เวลาจ้องมองกล้องก็ชวนหลอนแล้ว นับว่าเป็นเอกลักษณ์ของ Jordan Peele เลยก็ว่าได้ เพราะเราจะเห็นฉาก Close Up แบบนี้มาตั้งแต่ Get Out แล้ว
แต่ส่วนของพล็อตนั้นมันล้ำและเล่นประเด็นใหญ่มากจนไม่มีทางเดาถูก และหลาย ๆ อย่างดูไร้เหตุผลว่าพวกมันจะทำ….อย่างนั้น เพื่ออะไร? นัยยะที่แสดงโจ่งแจ้งว่าเสียดล้อสังคมอเมริกันนั้น ก็มีองค์ประกอบหลายอย่างที่ตีความได้ไม่หมด จนอาจต้องรีบคุยกับคนข้าง ๆ หลังหนังจบ และดูหนัง HDนี่คือมีดสองคมที่น่าจะทำให้มีทั้งคนชอบและไม่ชอบตัวหนังด้วย ส่วนตัว Get Out สนุกและกลมกลืนกว่าครับ
ซึ่งให้เดานะครับ ถ้าคุณคาดหวังไปดูหนังถ่ายทอดสดสยองขวัญแกมตลกร้าย คุณจะสมใจสัก 50-60% ถ้าคุณหวังจะไปดูหนังการเมืองหนังสังคมใช้สัญญะแบบกลืนไปกับเรื่องคุณจะสมใจสัก 70-80% ส่วนอีก 20% ผมขอเว้นไว้ให้เป็นข้อที่หนังไม่สามารถผสานความเป็นหนังสยองขวัญกับหนังสัญญะได้สนุกพอมีเหตุมีผลพอ บางทีรู้สึกว่ามันเล่นใหญ่และไปไม่สุด ให้ความรู้สึกเหมือนดูหนัง The Happening ของเอ็ม. ไนท์ฯ แต่งานโปรดักชั่นทำได้มีรสนิยมกว่ามาก
ดนตรีประกอบดี
สิ่งที่ชูให้หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมและโดดเด่นมากๆ คือดนตรีประกอบ มันทั้งชวนหลอน ตื่นเต้น และเข้ากับบรรยากาศของหนังได้เป็นอย่างดี เสียงดนตรีของเรื่องนี้มันทำให้หนังกลมกล่อมแบบสุดๆ
แถมด้วยการแสดงของนักแสดงชั้นนำอย่าง Lupita Nyong’o ที่แสดงได้ดีมาก ดีกว่าที่คิดมากๆ ทั้งในบทบาทร่างปกติและร่างเงา เธอตีบทแตกกระจุยเลย เธอเอาอยู่ทั้งเรื่องจริงๆ
สรุป
เป็นหนังระทึกขวัญที่เสกลใหญ่ไม่ใช่เล่น ดูไปก็แบบคิดในใจว่ามันได้ขนาดนี้เลยหรอฟะ ดูแบบตีความก็สนุก ดูแบบระทึกขวัญก็เพลินใช้ได้ ถ้าให้เขียนอะไรมากกว่านี้ก็คงจะสปอยล์แล้วแหละ เกือบทุกอย่างในเรื่องมีเหตุผลของมัน ทั้งคำพูด กระต่าย และอื่นๆ อีกมากมาย เราว่าสนุกเลยแหละ ควรหาเวลาไปดู Jordan Peele คุณมันอัจฉริยะจริงๆ
Comments