รีวิว Train to Busan - ด่วนนรกซอมบี้คลั่ง
จะเป็นอย่างไร เมื่อขบวนรถไฟเต็มไปด้วยซอมบี้กระหายเนื้อมนุษย์ เหล่าผู้คนในขบวนรถไฟ พวกเขาจะหนีเอาตัวรอดได้ยังไงในเมื่อไวรัสซอมบี้มันแพร่ระบาดเร็วขนาดนั้น (และแถมซอมบี้ยังวิ่งเร็วมากๆด้วย) รีวิว Train to Busan
เรื่องย่อ
“ซอกวู” (กงยู) และลูกสาว “ซูอา” (คิมซูอัน) กำลังขึ้นขบวนรถไฟเคทีเอ็กซ์ที่จะพาทั้งสองเดินจากจากกรุงโซลไปยังเมืองปูซานเพื่อเยี่ยมภรรยาเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน แต่ทันทีที่รถไฟกำลังจะเคลื่อนออกจากชานชาลา กลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้โดยสารทั้งขบวนต้องช็อก เมื่อสถานีรถไฟกลับถูกฝูงซอมบี้โจมตี คร่าชีวิตคนขับรถไฟและผู้โดยสาร รถไฟเคทีเอ็กซ์มุ่งตรงไปยังปูซานโดยไร้คนขับ ผู้โดยสารทั้งหมดต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากฝูงซอมบี้ที่กำลังไล่ล่าพวกเขาอย่างไม่ลดละตลอด 90 นาที (453 กิโลเมตร) ของเส้นทางมุ่งหน้าสู่ปูซาน
ภาพยนตร์ซอมบี้ฟอร์มยักษ์ของเกาหลีต้นฉบับความดุร้ายบ้าคลั่งโดย “ยอนซังโฮ” สุดยอดผู้กำกับรุ่นใหม่ที่น่าจับตามองที่สุดในขณะนี้ ซึ่งหนังได้กระแสตอบรับเป็นอย่างดีจาก “เทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ 2016” และกวาดรับคำชมจากบรรดาคอหนังและนักวิจารณ์จากทั่วโลกมาแล้วอย่างล้นหลาม
นำทีมโดยซุป’ตาร์ตัวพ่อ “กงยู” ที่รับบทคุณพ่อที่ต้องพาลูกสาวหนีซอมบี้คลั่งระบาดทั่วเมือง
พร้อมนักแสดงชื่อดังอีกมากมายที่มาร่วมลุยฝ่าฝูงซอมบี้เพื่อเอาชีวิตรอด ไม่ว่าจะเป็น “จองยูมิ” (Kim Ji-young Born 1982), “ชเววูซิค” (Parasite), “มาดงซอก” (Along with the Gods: The Last 49 Days) และ “อันโซฮี” (อดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ป Wonder Girls และ Welcome to Waikiki 2)
จะว่าไป คอนเซ็ปต์ของ Train to Busan อาจจะคล้าย World War Z ที่มาผสมกับ Snowpiercer (หนังเกาหลีที่ใช้นักแสดงนำฮอลลีวูด ซึ่งนำทีมโดย Chris Evans หรือ Captain America) คือเป็นรถไฟที่บรรจุผู้รอดชีวิตจากหายนะของโลกไว้ เนื้อเรื่องหนังใหม่เต็มเรื่องแอบสะท้อนการแบ่งแยกชนชั้นและเสียดสีจิกกัดพวกทุนนิยม แต่เพิ่มเติมคือ Train to Busan มีซอมบี้เป็นหายนะ และบนขบวนก็มีหายนะนั้นอยู่ด้วย
เนื้อเรื่อง
Train to Busan เปิดฉากมาด้วยการให้เราทำความรู้จักตัวละครหลักๆ ก่อน นั่นก็คือซอกวู (นำแสดงโดย กงยู ออร่าความพ่อพุ่งกระฉูดมาก) ผู้จัดการกองทุนหนุ่มที่มีลูกสาวนามว่าซูอัน ความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกค่อนข้างห่างเหินเพราะคนเป็นพ่อมัวแต่ทำงาน ในวันเกิดของซูอัน เธอขอให้พ่อพาเธอนั่งรถไฟไปปูซานเพื่อไปหาแม่ ตอนแรกซอกวูก็บ่ายเบี่ยงเพราะงานเยอะ แต่สุดท้ายก็ยอมพาไป
ซึ่งระหว่างการเดินทางพวกเขาได้เจอเหตุชุลมุนแปลกประหลาด ตั้งแต่ตัวสถานีแล้วที่มีคนวุ่นวายกันมากมาย และดูเหมือนจะมีคนวิ่งเข้ามาในรถไฟด้วยท่าทางแปลกๆ ด้วย ปรากฏว่าแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านั้นคือผู้ติดเชื้อไวรัสซอมบี้ พวกเขาเริ่มกัดกินคนในขบวนรถไฟอย่างบ้าคลั่งชนิดที่ว่าเห็นมนุษย์เป็นไม่ได้เป็นต้องรีบพุ่งเข้าไปราวกับเจออาหารโอชะ ในสถานที่ที่ปิดตายอย่างนี้ ซอกวูและซูอันจะสามารถเดินทางไปถึงปูซานได้ไหม?
การดำเนินเรื่องคือเป็นไปอย่างที่คาดไว้ คือสนุกและลุ้นไปซะทุกฉาก แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นลุ้นจนเหนื่อยหอบนะสำหรับเรา เพราะหนังเปลี่ยนประเภทฉากไปมา พอลุ้นเสร็จก็พัก พอพักเสร็จก็วิ่งกันต่อ จังหวะการลุ้นมันเลยกำลังดี ส่วนซอมบี้นี่ก็ทำได้น่าเกลียดน่าขยะแขยงระดับนึง อาจจะไม่ถึงขั้นเลือดสายอวัยวะพุ่ง
แต่ด้วยรูปลักษณ์และท่าทางก็ชวนให้สยองได้เหมือนกัน ทีเด็ดคือฉากที่กล้องแพนให้เห็นซอมบี้วิ่งเป็นขบวนนั่นละ โอ้โห อลังการมาก ซอมบี้เยอะอย่างกับว่าทั้งเกาหลีใต้กลายเป็นซอมบี้ไปหมดแล้ว (ดูจากสภาพแล้ว ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงแหละว้า)
ด้วยเหตุนี้แหละ สถานการณ์มันวิกฤติขั้นสุด หนังสามารถเล่นกับประเด็นเรื่องสัญชาตญาณของมนุษย์ได้ดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการที่บางคนเอาตัวรอดไว้ก่อน บางคนนึกถึงผลประโยชน์ของตัวเอง เทียบไปแล้วก็เหมือนอสูรกายที่บ้าเลือดที่คิดแต่จะเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ในขณะที่บางคนยอมเสียสละ นึกถึงคนส่วนมาก
ตัวพระเอกอย่างซอกวูเองนั้นแม้ว่าจะเป็นพระเอก แต่ก็ยังมีความเห็นแก่ตัวอยู่ ดูได้จากประโยคที่บอกซูอัน ลูกสาวของเขาว่าในสถานการณ์อย่างนี้ ไม่ต้องไปใจดีกับคนอื่น ดูแลตัวเองให้รอดก่อนเป็นพอ… ซึ่งจริงๆ มันก็ถูกนะ ถ้ายังเอาตัวเองไม่รอด การไปช่วยคนอื่นก็จะยิ่งถ่วงกันเปล่าๆ
แต่จริงๆ แล้ว หากทุกคนนึกถึงแต่ตัวเอง จะสามารถไปได้ไกลกว่าจริงๆ หรือ
ในหลายๆ สถานการณ์ของหนัง เราจะเห็นว่าเมื่อรวมกลุ่มและช่วยเหลือกันแล้ว ย่อมสามารถจัดการแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า ฉากที่เราชอบคือฉากที่สามหนุ่มฝ่าขบวนรถไฟที่เต็มไปด้วยซอมบี้ไปด้วยกัน มันโคตรทีมเวิร์ค โคตรบู๊ ชอบมาก ประทับใจลุงซังฮวา ลุงอ้วนที่พาเมียท้องขึ้นรถไฟมาด้วย ตอนแรกเฉยๆ กับลุงแต่พอลุงเริ่มออกซีนบู๊ตะลุยถีบหน้าซอมบี้เท่านั้นแหละ แม่ง ลุงเท่ว่ะ คือลองคิดเล่นๆ ว่าถ้าไม่มีคนแบบลุง คนบู๊ๆ ที่นอกจากจะห่วงเมียตัวเองแล้วก็ยังห่วงคนอื่น หลายๆ คนก็คงไม่รอด
แต่ถึงอย่างนั้นการช่วยคนอื่นก่อนก็ไม่ได้ดีเสมอไป เอาเข้าจริงเราว่าอยู่ที่สถานการณ์และคนที่เราคิดจะเข้าไปช่วย อย่างกรณีลุงยงซอก ลุงนักธุรกิจที่คิดถึงแต่ตัวเองอย่างเดียวจริงๆ หลายครั้งหลายคราวที่มีคนคิดจะช่วยลุง แต่ลุงกลับซ้อนแผนแล้วผลักคนพวกนั้นให้ซอมบี้กิน มันทำให้รู้สึกแบบโว้ยยยย อีกแล้วเรอะลุง คือถ้าไม่มีลุงสักคนนี่เราว่าน่าจะรอดกันหลายคนเลยละ คนแบบลุงนี่เป็นคนที่ทำให้ใครหลายๆ คนไม่นึกอยากช่วยคนอื่น
ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีว่าโดนหักหลังก็ตอนใกล้จะตายนั่นแหละ ฉากที่ลุงกับผู้โดยสารมนุษย์ลุงมนุษย์ป้าคนอื่นๆ ผลักไสไล่ส่งกลุ่มพระเอกที่เพิ่งฝ่าดงซอมบี้มาได้สำเร็จนี่เว็บหนัง HDก็กระแทกใจดีเหมือนกัน ตั้งแต่ปิดประตูไม่ให้กลุ่มพระเอกเข้ามาได้ จนไปถึงไล่ให้ไปอยู่ท้ายขบวน มันเจ็บจึกแต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าในสังคมเราก็ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ตัดสินคนจากสิ่งที่เขาเผชิญหรือเคยเป็น แม้ว่าปัจจุบันจะไม่ได้แสดงให้เห็นอย่างนั้นแต่ก็แอนตี้ไปแล้ว
หนังสร้างความ emotional ด้วยการพาคนดูไปรู้จักกับตัวละครบางคนในขบวนรถไฟ ไม่ได้มีแค่คู่พ่อลูกซอกวู-ซูอันเท่านั้นที่เป็นสตอรี่หลักของเรื่อง แต่เนื้อเรื่องยังประกอบไปด้วยคู่ข้าวใหม่ปลามันอย่างลุงซังฮวา-ซองฮยองที่ตั้งท้องอยู่ , คู่กุ๊กกิ๊กวัยมัธยมอย่างยองกุก-จินฮี (นำแสดงโดย โซฮี Wonder Girls ที่โดดเด่นตั้งแต่ฉากแรก)
รวมถึงคู่ป้าสองคนที่เป็นพี่น้องกัน (รึเปล่า ไม่แน่ใจ) พอหนังมีสตอรี่ของหลากหลายตัวละคร เราก็ยิ่งอยากเอาใจช่วยพวกเขามากขึ้น เพราะพวกเขามีที่มาที่ไป ไม่ได้เป็นใครก็ไม่รู้ที่ร่วมโดยสารไปกับพระเอกและลูก
แน่นอนว่าการผจญภัยครั้งนี้แลกมาด้วยความสูญเสียมากมาย สะเทือนใจไปกับการจากไปของตัวละครหลายๆ ตัว หนังขยี้ฉากซึ้งได้ดีมาก ความพีคของหนังยังลากยาวไปถึงตอนจบที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ดูจบจะรู้สึกเคว้งๆ แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม
ไม่รู้หรอกว่าผู้รอดชีวิตจะรอดต่อไปไหม แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ผ่านหนึ่งในมรสุมที่โหดที่สุดมาแล้ว
ความเป็นธรรมชาติของนักแสดง
ความเป็นธรรมชาติของนักแสดงคืสิ่งที่ทำให้หนังดูเป็นธรรมชาติ ทำให้หนังดูสมจริง และกงยูก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วครับ ความเป็นธรรมชาติของกงยูทำให้หนังออกมากลมกล่อม ดูไม่เฟค โดยเฉพาะการแสดงออกความรักความห่วงใยที่มีต่อลูกสาว
สรุป
คะแนนเนื้อเรื่อง เอาไป10/10 เลยครับ กับภาพยนตร์ที่สมบูรณ์แบบขนาดนี้ ตื่นเต้น น่ากลัว ความรักที่พ่อมีต่อลูก และต้องบอกก่อนเลยว่า ซอมบี้แต่ละเวอร์ชั่นจะมีจุดอ่อนที่ไม่เหมือนกัน ซอมบี้ในเรื่องนี้ จะมีจุดอ่อนคือ มองไม่เห็นในที่มืด และจะมีฉากที่พระเอกกับพรรคพวกต้องไปเอาของอีกโบกี้หนึ่ง ซึงมีซอมบี้อยู่ ก็ต้องรอจังหวะให้รถไฟไปในอุโมงค์ถึงจะเข้าไปอีกโบกี้ได้ และก็ต้องลุ้นให้ทำภารกิจเสร็จก่อนที่จะออกจากอุโมงค์ด้วย
แล้วประเด็นคือ Train to Busan เขาทำถึง เขานำพาคนดูไปสำรวจความเป็นมนุษย์ในตัวเราได้อย่างดี หลายคำพูดและการกระทำของตัวละครมันช่างทิ่มแทงเหลือเกิน กล่าวคือ หนังเอาตัวละครต่างชนชั้นมาอยู่ด้วยกันในสถานการณ์ที่คับขัน ซึ่งจะเค้นสัญชาตญาณดิบหรือด้านมืดของมนุษย์กันออกมา (แล้วยิ่งสเกลของหนังมันแคบและไปไหนไม่ค่อยได้นอกจากบนรถไฟ ก็ยิ่งรู้สึกกดดัน)
ปล. รีวิว Peninsula ภาคต่อของ Train to Busan
Comments