รีวิว The Intruder - อย่าให้ ยูจิน เข้าบ้าน
ลองปรับโหมดมาดูหนังระทึกขวัญลึกลับ สไตล์หักมุมปนตลบตะแลงส่งตรงมาจากเกาหลีใต้กันดูบ้าง ในหนังเรื่องใหม่ล่าสุดของพี่สาวแห่งชาติ "ซงจีฮโย" ที่ได้งัดใช้หน้าดุๆ แววตาอันทรงพลังปล่อยของออกมาในหนังเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เรากำลังพูดถึง "อย่าให้ ยูจินเ ข้าบ้าน" นับว่าเป็นหนังที่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย แต่ก็สร้างความระทึกใจให้กับคนดูได้อย่างดี รีวิว The Intruder
เรื่องย่อ
ยูจิน (ซงจีฮโย จาก A Frozen Flower) หญิงสาวที่หายตัวไปอย่างลึกลับนานถึง 25 ปี ก่อนที่วันดีคืนดี เธอจะกลับมาหาพี่ชายอย่าง ซอจิน (คิมมูยอล จาก The Gangster, The Cop, The Devil) และครอบครัว ในขณะที่คนอื่น ๆ ตื้นตันและดีใจกับการกลับมาของยูจิน แต่ซอจินกลับรู้สึกว่าเธอคนนี้อาจไม่ใช่น้องสาวของเขา
บางทีข้อดีของการที่ไม่มีหนังฟอร์มยักษ์เข้าฉาย สามารถเปิดโอกาสให้ผู้ชมอย่างเราๆได้มีโอกาสไปชมภาพยนตร์ฟอร์มกลางและฟอร์มเล็ก รวมไปถึงหนังสัญชาติเอเชียที่คนดูมักจะให้คุณค่าหนังเหล่านี้ว่าดูแค่ออนไลน์ก็พอ ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่าน้อยใจอยู่ไม่น้อยสำหรับคนทำหนัง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเมื่อพิจารณาสภาพเศรษฐกิจและเงินในกระเป๋าสตางค์เราเวลานี้ ก็พอที่จะเป็นเรื่องที่สามารถทำความเข้าใจได้เช่นกัน
ผลงานจากผู้กำกับหน้าใหม่ ซอนวอนเปียง ที่ทำหนังเรื่องแรก โดยได้ดาราแม่เหล็กอย่าง ซงจีฮโย ที่คุ้นหน้าคุ้นตาจากรายการวาไรตี้อย่าง Running Man ที่ฮิตในบ้านเราอยู่พักใหญ่ มาพลิกบทบาทเข้มดุและมืดหม่นในบท ยูจิน น้องสาวปริศนาที่หายไปกว่า 20 ปี และส่อพิรุธมากมาย
ในขณะที่อีกเดอะแบกของดูหนังฟรีก็ได้ คิมมูยอล ที่กลับมาเล่นหนังแนวจิตวิทยา ซึ่งจะว่าไปกลิ่นคล้ายหนัง Forgotten เมื่อปี 2017 ที่มีให้ชมในเน็ตฟลิกซ์ของเขาอยู่ไม่น้อยเช่นกันโดยเฉพาะครึ่งแรกของหนัง หากแต่ว่ารอบนี้เขาสลับบทบาทมาเป็นตัวละครที่แทนสายตาผู้ชมและต้องสืบหาความจริงที่พร่าเลือนของตนเองแทน
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของซอจิน (คิมมูยอล จาก The Gangster, The Cop, The Devil) สถาปนิกหนุ่มที่เพิ่งสูญเสียภรรยาไปเมื่อไม่นานมานี้ ด้วยความเครียดสะสมทำให้เขามีอาการวิงเวียนศีรษะคล้ายจะวูบหมดสติอยู่บ่อยครั้ง เขามักจะฝันร้ายถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับภรรยาที่มีรถลึกลับมาชนและหนีไป และบางครั้งซอจินก็ฝันถึงเหตุการณ์ในอดีตสมัยที่เขายังเป็นเด็ก ซึ่งเขาได้พลัดหลงกับน้องสาวในสวนสนุกและนับตั้งแต่วันนั้นมาก็ไม่เคยมีใครได้พบกับยูจินอีกเลย
จนกระทั่งวันหนึ่งมีสายโทรศัพท์จากตำรวจติดต่อมาที่บ้านของซอจินว่า มีคนพบยูจิน(ซงจีฮโย จาก A Frozen Flower) แล้ว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ทั้งสองนัดพบกันและซอจินได้ยื่นข้อเสนอให้เธอตรวจดีเอ็นเอเพื่อยืนยันตัวตน เมื่อทุกอย่างกระจ่างว่ายูจินคนนี้มีรหัสพันธุกรรมที่ตรงกับสายเลือดของทุกคนในบ้าน หญิงสาวแปลกหน้าจึงได้กลับมาอยู่กับครอบครัวนี้ ท่ามกลางความรู้สึกตะหงิดๆของซอจิน ว่าบางทีแล้วผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่ใช่น้องสาวคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก
ระหว่างที่เหตุการณ์ดำเนินไปหนังก็พยายามทำให้คนดูไขว้เขวอยู่ตลอดเวลาว่าตกลงแล้ว พระเอกของเรื่องอย่างซอจินนั้นมีอาการทางประสาท คิดมากแล้วหลอนไปเอง หรือแท้ที่จริงแล้วยูจินนั้นเป็นตัวปลอมกันแน่ ระหว่างที่ปล่อยให้คนดูคาดเดากันต่างๆนานา
บทสรุปในช่วงท้ายก็ไม่ได้พลิกความคาดหมายนัก (ถ้าหากคุณเคยดูหนังเกาหลีอย่าง Forgotten ความทรงจำพิศวง มาก่อน ที่ตลกหนักกว่านั้นคือ คิมมูยอล ก็นำแสดงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน 5555) ซึ่งส่วนตัวก็แอบรู้สึกว่าวิธีการที่หนังเลือกจะหาทางออกให้กับตัวละครนั้นก็จัดได้ว่า “แถ” เอาเรื่องอยู่ไม่น้อย
หนังเรื่องนี้เป็นผลงานกำกับและเขียนบทเรื่องแรกของผู้กำกับหญิง "ซนวอนพยอง" ที่มาพร้อมกับความลึกลับแต่เต็มไปด้วยสูตรสำเร็จหนังใหม่ชนโรงที่พล็อตชวนให้ลุ้นสนุกได้ไม่ยาก ตลอดเวลา 100 นาทีนิดๆ ของหนัง สามารถเดาและจับทางได้สบายๆ และแทบจะไม่ผิดจากที่คาดคิดเอาไว้เลย เพราะทุกอย่างต่างถูกปูทางเอาไว้ลงล็อกที่วางเอาไว้ทั้งหมด นี่จึงเป็นอีกหนึ่งบล็อกสูตรสำเร็จของหนังที่รวมๆ แล้วก็ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นอะไร
จุดที่ดี
ส่วนที่ดีของหนังคือ การแสดงของ 2 ดารานำที่สมแก่ชื่อเสียง เพราะช่วยพยุงหนังให้มีความตึงเครียดและตื่นเต้นได้ดี แม้มองไปในหนังแนวเดียวกันจะต้องยอมรับว่าบทไม่ได้ส่งให้ทั้งคู่โชว์พลังแบบน่าจดจำอะไรนักก็ตาม มิติทางลึกภายในตัวละครไม่ได้ถูกขับชัดออกมา แต่ทั้งนี้ทั้งคู่ก็หาช่วงเวลาที่เป็นของตนเองได้แบบพอเอาตัวรอด
อย่างคิมมูยอลก็มีฉากที่เขาต้องโดนเล่นงานจิตใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบแหลกสลาย ส่วนซงจีฮโยก็มีฉากตีบทสองหน้าให้ชวนหมั่นไส้อยู่เป็นระยะ น่าแปลกว่าฉากไคลแมกซ์ของหนังกลับไม่ใช่ส่วนที่น่าจดจำไปเสียฉิบ ผิดขนบหนังแนวนี้มาก
สิ่งที่ทำได้เกือบดี คือการให้ตัวละครเอกเป็นสถาปนิกที่บ้างาน เขามีปมซ้ำซ้อนหนัก ๆ ทั้งเรื่องในอดีตที่ปล่อยมือน้องสาวจนพลัดหลงหายไป ต่อมาก็ในปัจจุบันที่ภรรยาของเขาเสียชีวิตจากการชนแล้วหนี และท้ายสุดคือการต้องรักษาครอบครัวที่กำลังแตกสลายเพราะการมาถึงของยูจิน
จุดที่น่าสนใจ
สิ่งที่หนังเกือบทำได้น่าสนใจคือ การดึงเอาความเป็นสถาปนิกมาเล่นกับกิมมิกปมต่าง ๆ เช่นว่า เขาออกแบบบ้านที่อยู่ในตอนนี้เพื่อตามหาน้องสาวที่หายไป หรือฉากสถานที่ในความทรงจำที่เขาทำการสะกดจิตบำบัดแล้วสื่อเชิงสัญลักษณ์ออกมาเป็นภาพต่าง ๆ เหล่านี้
ล้วนเห็นเชื้อความคิดสร้างสรรค์ที่มีคุณภาพที่ไม่ถูกนำเอามาใช้งานได้อย่างดี เพราะสุดท้ายมันก็ไม่ได้ขยายความจนคนดูเข้าใจว่าแบบบ้านมันสอดรับกับปมต่าง ๆ อย่างไร หรือกิมมิกความทรงจำต่าง ๆ มันสะท้อนภาวะภายในตัวละครอย่างไร
จุดเสีย
และสิ่งที่นำความฉิบหายมาสู่หนังเรื่องนี้มากที่สุดคงไม่พ้นบทหนัง ด้วยความที่เป็นหนังเรื่องแรกของผู้กำกับใหม่ มันจึงเต็มไปด้วยความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่จนคุมไม่อยู่ เมื่อต้นเรื่องวางพลอตไว้อย่างวูบวาบหวือหวาราวกับม้าหนุ่ม ครั้นเมื่อดีกรีความเครียดพุ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ เจ้าม้าหนุ่มก็พยศเอาเสียผู้กำกับคุมให้วิ่งในลู่ไม่ได้ ส่งผลให้การเฉลยจวบจนจุดคลี่คลายกลายเป็นงานหยาบที่ชวนกุมขมับอยู่ไม่น้อย
ไม่ใช่ว่าไม่สมเหตุสมผลอย่างสิ้นเชิง ทว่ามันดูฝืนในการพยายามอธิบายแบบเอาให้หนังจบได้ ด้วยไอเดียที่เชยระดับหนังเกรดบียุคเก่า ยิ่งฉากไคลแมกซ์ที่มีการคว้ามือขอบหน้าผานี่มันช่างเชยจนทำเอางานคราฟต์ครึ่งเรื่องแรกแทบไม่เหลือคุณค่าทีเดียว
ผู้กำกับยังโกงบทให้ตัวละครเอกขาดสติแทบทั้งเรื่อง ทั้งโดนยา โดนหลอก โดนใส่ความ โดนปั่นหัวสารพัด ครั้นเมื่อสืบสวนจนรู้ความจริง ก็ยังวิ่งเป็นหนูเข้าไปติดจั่นแบบโง่ ๆ ได้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อย่างว่าหากตัวละครไม่มีสติในการรับมือสิ่งต่าง ๆ สถานการณ์อะไรก็ย่อมเกิดขึ้นได้ตามผู้สร้างบันดาล
และก็ลงล็อกพอดีกับการหาทางลงให้เนื้อเรื่องที่พยศไปเกินผู้กำกับจะคุมไหว ความไร้สติของพระเอกก็เล่นเอาผู้ชมยังเหนื่อยจะเอาใจช่วย และพาลจะเป็นความหงุดหงิด ซึ่งพูดตามตรงท้าย ๆ เรื่องแทบจะช่างชะตาตัวละครแล้ว ถ้าบทจะปั่นให้แก้ปัญหาโง่ ๆ ขนาดนี้
ส่วนประเด็นหลักและหาหักมุมของหนัง ก็อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่า...ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย สุดท้ายหนังก็เลือกหยิบประเด็นความเชื่อเข้ามาเป็นจุดขัดแย้งและบทสรุปของหนังตามสูตรสำเร็จ แต่หนังกลับไม่ได้ขยายความ รวมทั้งลงรายละเอียดในส่วนนี้สักเท่าไหร่ เมื่อสรุปคลี่คลายลงไปแล้วก็ปล่อยทิ้งให้คนดูคาราคาซังเอาไว้ตรงนั้น กลายเป็นหนังที่พาคนดูไปส่งได้ไม่ถึงที่หมายสักเท่าไหร่
นักแสดง
การแสดงที่ต้องแบกหนังเอาไว้ทั้งเรื่องของ ซงจีฮโย ก็คือว่าทำได้ดีตามมาตรฐานของเธอ ด้วยความที่บทบาทของคาแรกเตอร์นี้ค่อนข้างส่งเสริมอยู่แล้ว การมาขยี้และใช้ทักษะการแสดงของเธอกลายมาเป็นส่วนเติมเต็มให้กับหนังได้เป็นอย่างดี แม้ว่าบทแทบจะแบนราบและยังเต็มไปด้วยสูตรสำเร็จเดิมๆ แต่ด้วยบทธรรมดาก็สามารถถูกถ่ายทอดออกมาได้อย่างทรงพลังเกินเบอร์ได้เช่นกัน
ในขณะที่นักแสดงฝ่ายชายของเรา "คิมมูุยุล" เขาต่างหากที่ทำหน้าที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้มากกว่านักแสดงฝ่ายหญิง เพราะต้องเป็นตัวละครที่ดำเนินเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ พร้อมกับเผชิญหน้ากับสภาวะทางอารมณ์ต่างๆ รุมเร้า การแสดงของเขาถือว่าทำได้ค่อนข้างดี เพราะบทก็ส่งเสริมตัวละครให้ได้ปล่อยของอยู่แล้ว
แต่น่าเสียดายที่บทอย่าง ซอจิน ถูกกำหนดออกมาให้เป็นตัวละครที่น่ารำคาญพอสมควร เพราะเป็นตัวละครที่ค่อนข้างขาดสติ ผนวกกับต้องเผชิญหน้ากับสภาวะทางอารมณ์บอบช้ำ ทำให้การกระทำต่างๆ เข้าทางคนร้ายไปเสียทุกอย่าง กลายเป็นว่าคนดูหุงดหงิดกับการกระทำของเรา จนท้ายๆ แทบไม่เหลืออารมณ์อยากจะเอาใจช่วยให้เขาเอาชนะอีกฝ่ายได้ในทำนองนั้นเลย ผลลัพธ์ที่ออกมาทำให้รู้สึกหัวเสียเบาๆ กับหนังเพราะการกระทำของตัวละครเช่นนี้
โดยรวม
น่าเสียดายที่บทสรุปของ Intruder ไม่ค่อนทำให้เรารู้สึกเชื่อว่าตัวละครจะวางแผนการได้ลึกล้ำเป็นทฤษฎีสมคบคิดแบบที่ปรากฏอยู่ หรือน้ำหนักในการกระทำของตัวละครที่อำพรางตัวตนและก่ออาชญากรรมในแบบที่ตำรวจไม่สามารถแกะรอยได้ ก็ยิ่งทำให้เหตุผลของหนังเรื่องนี้ เบาหวิวยิงกว่าปุยนุ่นด้วยประการทั้งปวง
สรุป
เป็นหนังเกาหลีแนวธริลเลอร์จิตวิทยาที่ทำได้ดีในครึ่งแรกของหนัง แต่แทนที่จะเอาแต่พองามและคุมให้อยู่มือด้วยการขยี้ความตึงเครียดแบบเฉือนคม และการเฉลยที่ลงตัว หนังกลับเลยเถิดคิดการใหญ่จนครึ่งหลังเป็นมะเร็งของเนื้อเรื่องไปโดยปริยาย
Comments