รีวิว Stanger Things - สเตรนเจอร์ ธิงส์
ซีรีส์แนว ไซไฟ-ทริลเลอร์ (Sci-fi / Thriller) ที่ผสมผสานกลิ่นอายยุค 80’s เอาไว้อย่างอัดแน่น ทำให้เราอดนึกถึงสไตล์หนังเท่ๆ ของตาลุง สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) หรือบรรยากาศหลอนๆจากนิยายสยองขวัญของ สตีเฟน คิง (Stephen King) ไม่ได้ รีวิว Stanger Things
เรื่องย่อ
โดยซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าถึงยุค 1980 ที่เมืองเล็กๆแห่งหนึ่งในรัฐอินเดียน่าได้เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น เมื่อเด็กชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘วิล บายเยอร์’ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับ จนทำให้แม่และพี่ชายของเขาต้องออกตามหากันให้วุ่น แต่ไม่ว่าจะตามหาอย่างไรก็ดูเหมือนว่าวิลจะไม่ทิ้งร่องรอยอะไว้เลย ร้อนถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจและทุกคนในเมืองต้องช่วยกันออกตามหา ในขณะที่อีกด้านหนึ่ง แก๊งเพื่อนๆ ของวิลอีก3คน ก็ได้พบกับเด็กหญิงลึกลับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่จะมาช่วยพวกเค้าหาทั้งวิลและทั้งคำตอบว่านี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่ !!
Stranger Things มีทั้งความลึกลับ ให้ปริศนาที่น่าค้นหา กับเรื่องราวที่เหนือธรรมชาติ ผสมกับความสยองขวัญ และ Sci-Fi ได้อย่างน่าสนใจ โดยในตอนแรกเราจะทั้งงุนงง สงสัยไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นช่วงแรก เอาตรงๆก็คือผมยังไม่ติด เพราะยังไม่รู้ว่าซีรีส์เรื่องนี้จะเล่าอะไรให้ฟังมากนัก
แต่พอพ้นช่วงครึ่งแรกไปเท่านั้นแหละ ที่พอเฉลยปมปริศนาต่างๆ ทำให้ปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ ซีรีส์ก็ทำให้ต้องลุ้นกันตัวโก่ง เพราะแต่ละตอนจบตอนได้น่าติดตามมาก มันทำให้เราอยากรู้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรต่อ และทำให้ผมดูช่วงท้ายแบบรวดเดียวจบไปเลย
ตัวละครเดินเรื่องมีทั้งวัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ ทำให้มีความหลากหลายในการเล่าเรื่องได้ดีมาก ผ่านมุมมองตัวละครต่างๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มีส่วนผสมของความหลากหลายของวัย ในหนังสยองขวัญ ซึ่งปกติถ้าเป็นหนังจะหยิบมาแค่ช่วงวัยเดียว แต่เนื่องจากนี่เป็นซีรีส์ เลยทำให้เราได้เห็นมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าหนังที่ฉาย
นอกจากนี้คาแรกเตอร์บางตัวยังมีสนใจความเฉพาะกลุ่มด้วย เช่น มีความสนใจในเรื่องบางเรื่องของยุค 80 เป็นพิเศษ ทำให้คนที่เกิดทันยุคนั้น หรือสนใจสื่อบันเทิงในยุคนั้น มีความเข้าถึงร่วม เหมือนมี Easter Egg ของยุคสมัยนั้นแทรกมาเป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่องได้อย่างดีเยี่ยม
พล็อตเรื่อง
ซึ่งบอกตามตรงว่าพล็อตหลักของซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะดูธรรมดาหรือออกจะคลิเช่เกินไปสำหรับใครหลายๆ ที่คุ้นเคยกับหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ เรื่องอื่นๆ เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพล็อตสัตว์ประหลาด เด็กมีพลังจิต หรือ การทดลองลับใดๆก็ตาม ก็อาจจะคิดว่าเรื่องนี้ก็คงคล้ายหนังเรื่องอื่นๆนั่นแหละ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าไม่มีคำว่าธรรมดาเลยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมันคือการหยิบเอาหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ในตำนานเหล่านั้นมายำรวมกันไว้ในหนังเรื่องเดียว
และบอกเล่าเรื่องราวใหม่ได้อย่างลื่นไหล มีจังหวะการติดต่อสนใจและชวนให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะไอเดียของหนังที่วางคอนเซ็ปการผูกปมเรื่องราวต่างๆ ซึ่งตรงนี้บอกได้เลยว่ามันคือการนำมาเล่าใหม่ได้มีสไตล์ไม่จำแจไม่ซับซ้อน และเคารพหนังในยุค 80’s มากจริงๆ ครับ
การเล่าเรื่อง
ซึ่งบอกตามตรงว่าพล็อตหลักของซีรีส์เรื่องนี้ อาจจะดูธรรมดาหรือออกจะคลิเช่เกินไปสำหรับใครหลายๆ ที่คุ้นเคยกับหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ เรื่องอื่นๆ เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะพล็อตสัตว์ประหลาด เด็กมีพลังจิต หรือ การทดลองลับใดๆก็ตาม ก็อาจจะคิดว่าเรื่องนี้ก็คงคล้ายหนังเรื่องอื่นๆนั่นแหละ แต่ผมขอบอกไว้ตรงนี้เลยนะครับว่าไม่มีคำว่าธรรมดาเลยสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ เพราะมันคือการหยิบเอาหนังไซไฟ-ทริลเลอร์ในตำนานเหล่านั้นมายำรวมกันไว้ในหนังเรื่องเดียว
และบอกเล่าเรื่องราวใหม่ได้อย่างลื่นไหล มีจังหวะการติดต่อสนใจและชวนให้ติดตามอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะไอเดียของหนังที่วางคอนเซ็ปการผูกปมเรื่องราวต่างๆ ซึ่งตรงนี้บอกได้เลยว่ามันคือการนำมาเล่าใหม่ได้มีสไตล์ไม่จำแจไม่ซับซ้อน และเคารพหนังในยุค 80’s มากจริงๆ ครับ
สิ่งที่ชอบ
อีกหนึ่งสิ่งที่ตรึงผมให้อยู่กับซีรีส์เรื่องนี้ได้อย่างอยู่หมัดเลยก็คือ ‘เพลง’ ครับ ถ้าใครชอบฟังเพลงแนว Synthwave ที่จะได้กลิ่นอายเพลงอิเลคโทรป๊อบยุค 80’s รุ่นเก่าๆ หน่อยแบบผม ก็จะยิ่งประทับใจในซีรีส์เรื่องนี้ เพราะ Soundtrack ที่ใช้ทั้งเรื่องนั้น จะเป็นซาวด์ดนตรีที่ให้มู้ดความน่าพิศวง ความลึกลับน่าค้นหา และสเน่ห์บางอย่างที่ทำหน้าที่ร่วมกับงานภาพที่สวยงามได้เป็นอย่างดี ทำให้บรรยากาศในหนังดูตื่นเต้นน่าติดตามตลอดเวลา และเข้าถึงได้กับทุกอามรมณ์ของหนัง
และความเก๋ของเพลงประกอบซีรีส์เรื่องนี้เป็นที่พูดถึงในวงกว้างถึงขนาดส่งให้ Kyle Dixon กับ Michael Stein สองสมาชิกจากวงดนตรีแนวอิเล็คทรอนิคส์สัญชาติอเมริกันชื่อ S U R V I V E แจ้งเกิดแบบสุดๆในฐานะผู้สร้างสรรค์เพลงประกอบซีรีส์ Stanger Things และประสบความสำเร็จถึงขนาดที่ว่าได้รับการส่งชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่สาขา “Best Score Soundtrack” ในปีนี้กันเลยทีเดียว ถ้าใครอยากรู้ว่ามันเจ๋งยังไงละก็ วันนี้ผมนำเอามาฝากหนึ่งเพลงครับ ไปลองฟังกันได้เลย
สรุป
เอาล่ะครับก่อนที่จะจากกันไป ผมขอพูดอีกนิดนึงว่าที่ผมเล่าไปนั้น แน่นอนว่ามันไม่ใช่ทั้งหมดของซีรีส์เรื่องนี้แน่นอนครับ เพราะมันยังมีความน่าสนใจอีกมายมายที่ผมยังกล่าวถึงไม่หมด ไม่ว่าจะเป็นคอสตูมย้อนยุคที่จัดเต็ม โลเคชั่นที่สวยงาม งานสีและภาพ งาน CG ในเรื่อง Netflix ก็จัดเต็มสุดๆจนแทบจะเทียบชั้นภาพยนตร์ Blockbuster ได้เลยครับ
แต่ก็ใช่ว่าดูหนังจะมีแต่ข้อดีนะครับ จุดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังมีอยู่ตามสไตล์หนังแนวนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหากับด้านความสมเหตุสมผล ถือว่ายังพอเป็นสิ่งที่มองข้ามได้ ถ้าแทบกับความดีงามที่มี ซึ่งผมยังยืนยันคำเดียวคำเดิมว่า ไปดูเถอะครับ แล้วคุณจะรักซีรีส์เรื่องนี้…(ไม่มากก็น้อยล่ะน่า) !!
5 ความเจ๋งของ Stranger things ทำไมใครๆ ก็ต้องดู ??
1. เป็นซีรีส์ที่ทำให้คนรู้จักเน็ตฟลิก
ถึงแม้ว่าซีรีส์เรื่องแรกที่เน็ตฟลิกทำจะเป็น House of Cards ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2013 แต่ในขณะนั้นกลุ่มคนที่รู้จักเน็ตฟลิกก็ยังอยู่ในวงแคบ จนมาเมื่อปี 2016 นี่แหละที่ซีรีส์ Stranger things ได้ถือกำเนิดขึ้นและกลายเป็นกระแสปากต่อปากที่ใครๆ ก็อยากหามาดูให้ได้
อย่าง เว็บดูหนังเองก็ไปตามดูเพราะว่าได้ยินมาจากนักเขียนและพอดแคสต์ต่างๆ ที่แนะนำเช่นกัน จนแบบเออไม่ได้การละดูบ้างก็ได้ ซึ่งด้วยตัวบทและมู้ดแอนด์โทนต่างๆ ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้กลายเป็นตัวตนของเน็ตฟลิกไปเลย เหมือนเป็นการบอกกับวงการภาพยนตร์ทั่วโลกว่า ‘ชั้นไม่ได้มาเล่นๆ นะ รอชมเรื่องอื่นกันต่อได้เลย!’
2. ผสมผสานกลิ่นอายยุค 80
ในยุคนี้เรามีหนังดีๆ เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ให้ได้ชมกันเยอะก็จริง แต่ถ้าพูดถึงซีรีส์หรือภาพยนตร์ที่เอาเด็กมาดำเนินเรื่องแนววิทยาศาสตร์ก็ถือว่าห่างหายกันไปนานเหมือนกัน ตั้งแต่ยุค E.T. the Extra-Terrestrial (1982) หรือจะ Super 8 (2011) ก็ตาม
ทำให้ Stranger things ถือเป็นซีรีส์แห่งยุคที่ผสมเรื่องวิทยาศาสตร์เข้ากับการดำเนินเรื่องโดยนักแสดงเด็ก และยังเป็นเรื่องราวในยุค 80 ด้วย ทำให้เราได้กลิ่นอายของยุคนั้นไปแบบเต็มๆ เป็นเสน่ห์ที่สุดทางมากๆ มู้ดแอนด์โทนของซีรีส์คุมธีมออกมาได้ดี ทั้งอาร์ตในหนัง พร้อพต่างๆ ที่ถึงจะเป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นแนวอนาล็อค ทำให้เรานึกถึงช่วงเวลาตอนตัวเองเด็กๆ
3. นักแสดงคาแรคเตอร์จัด
ถ้าให้ว่ากันง่ายๆ เราว่า Stranger things มันเหมือนหนังเรื่องแฟนฉันที่เราเคยดูกันเมื่อปี 2003 มีกลิ่นอายความเป็นแก๊งเด็กๆ เที่ยวเล่น ขี่จักรยานกัน และดำเนินเรื่องไปแบบนั้น แต่ของ Stranger things จะเป็นแก๊งแฟนฉันที่เนิร์ดวิทยาศาสตร์ เนิร์ดบอร์ดเกม และหมกมุ่นกับการเรียนรู้มากๆ
เป็นแก๊งเด็กเนิร์ดที่อยู่ดีๆ เพื่อนของตัวเองก็หายไปหนึ่งคนอย่างไร้ร่องรอย เลยต้องค่อยๆ คลายปมปริศนาว่าที่สุดแล้วเพื่อนหายไปไหน? เรื่องราวในซีรีส์เลยทำให้เราเห็นความรักเพื่อนของแก๊งตัวละครกลุ่มนี้ ที่ประกอบไปด้วย Dustin, Lucus, Mike, Will รวมไปถึงน้อง Eleven ที่ไม่ว่าใครดูก็ต้องหลงรัก จนต้องตามไปกดฟอลโล่ไอจีของนักแสดงเลย
4. กลายเป็นกระแสฟีเวอร์
หลังจากซีรีส์ออกมาซีซั่นเดียวตัวละครและพร้อพต่างๆ ในซีรีส์ก็กลายเป็นสิ่งของที่ทุกคนอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นหมวกที่ดัสตินใส่, ขนม Eggo ที่น้องแอลชอบกิน หรือจะอุปกรณ์ต่างๆ ที่ถูกใช้ในซีรีส์ ทุกอย่างกลายเป็นแรร์ไอเท็มที่ถูกนำมาทำเป็น Merchandise ทั้งจากแบรนด์เอง และจากกลุ่มแฟนคลับด้วย
อย่างกรุงเทพฯ ในช่วงนี้ก็ถูกเปลี่ยนโฉมให้ได้บรรยากาศเมืองฮอว์คินส์ ไปในหลายๆ สถานที่เหมือนกัน เช่น หอศิลปกรุงเทพมหานคร (BACC) หรือจะพื้นที่แถวเอกมัย, ทองหล่อก็ด้วย
5. ดูเรื่องนี้ไม่เสียเวลาแน่นอน
หลายคนจะกลัวการเริ่มดูซีรีส์สักเรื่อง เพราะว่ากลัวจะเสียเวลาชีวิต กลัวจะติดเกินไปแล้วเสียงานเสียการ แต่สำหรับ Stranger things เราว่ามันโอเคที่จะใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง/ซีซั่น ในการชมนะ เพราะว่าเราจะไม่เสียดายทีหลังแน่ๆ
และระหว่างการดูซีรีส์เรื่องนี้เรายังอาจได้ไอเดียอะไรบางอย่างด้วย เช่นเรื่องราวด้านวิทยาศาสตร์ล้ำๆ หรือจะเพลงประกอบที่บอกเลยว่าคนสร้างนี่คัดมาแล้วอย่างดี เพราะเราแอบไปดูเบื้องหลังในเน็ตฟลิกมาแล้ว และพบว่า โอ้โห เขาคิดมาเยอะมากจริงๆ ในการจะเลือกเพลงประกอบสักเพลง
Comments