รีวิว Overlord - ปฏิบัติการโอเวอร์ลอร์ด
หนังจากค่าย Bad Robot ที่พ่วงชื่อ J.J. Abram มาด้วย โดยในตอนแรกหลายต่อหลายคนก็นึกไปเลยว่า “มันต้องเป็นหนังในจักรวาล Cloverfield แน่ๆ” เพราะค่ายนี้มักชอบเก็บเงียบ ไม่โปรโมท ไม่ปล่อยตัวอย่าง ไม่ค่อยปล่อยอะไรให้เราได้ดูกันเลย แต่สุดท้ายมันก็ไม่เกี่ยวข้องกันเลย รีวิว Overlord
เรื่องย่อ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนจะถึงช่วงเวลายกพลขึ้นบก ทีมทหารพลร่มอเมริกัน กระโดดร่มลงสู่พื้นในฝรั่งเศสที่อยู่ในพื้นที่ยึดครองของนาซี เพื่อปฏิบัติภารกิจที่สำคัญต่อความสำเร็จในการรุกเข้าสู่เขตศัตรู กับภารกิจการทำลายเครื่องส่งคลื่นวิทยุที่อยู่เหนือโบสถ์ที่แข็งแกร่งดั่งป้อมปราการ กลุ่มทหารที่สิ้นหวังผนึกกำลังกับชาวบ้านชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง เพื่อเจาะผ่านกำแพงและทลายหอคอย แต่ในห้องทดลองลับของพวกนาซีที่อยู่ใต้โบสถ์แห่งนี้ ทหารจีไอที่มีจำนวนเพียงน้อยนิดต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่โลกไม่เคยพบเห็นมาก่อน จากการดูแลงานผลิตโดยผู้อำนวยการสร้าง เจเจ อับรามส์ Overlord คืองานแอ็กชั่นผจญภัยที่ทำให้หัวใจเต้นตึกตัก และมาพร้อมจุดหักมุม
หนังเคยถูกเข้าใจว่าเป็นภาคหนึ่งในตระกูล Coverfield เพราะด้วยความที่เป็นหนังของ Bad Robot ค่ายหนังของ เจ.เจ. อับรามส์ ยิ่งตัวโปรเจ็กต์ผุดขึ้นมาแบบไม่มีเค้าใดบอกมาก่อน ยิ่งความลับเยอะก็ยิ่งทำให้แฟนคิดคาดไปว่าหนังน่าจะเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวใน Coverfield ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วเวลาก็ผ่านไปแล้วเปรี้ยงลงมาเป็นหนังซอมบี้ยุคสงครามโลกที่แยกเป็นเอกเทศของตัวเองในชื่อ Overlord นี่เอง
เป็นหนังในค่าย เจ.เจ. ที่ไม่เคยคาดเดาง่ายและทำเราผิดหวังยาก จริง ๆ แค่ข้อนี้ผมก็อยากดูแล้วนะ แต่สำหรับหลายคนก็คงบอกว่าธรรมดากว่าหนังเรื่องอื่น ๆ ที่ปะชื่อ เจ.เจ. ซึ่งก็ธรรมดาจริง ไม่ได้มีพล็อตเว่อวัง เหวอแตก หรือหักมุมอะไรทั้งสิ้น หลายฉากหลายช่วงออกจะไร้ตรรกะด้วยซ้ำ ยิ่งพวกสายสงครามโลกอาจดูไปด่าไปได้เลยล่ะ ตั้งแต่เรื่องคนดำเป็นพลร่มแล้ว แต่ถ้าไม่ซีเรียสหนังก็ให้บรรยากาศสงครามโลกที่ดิบดุดันดีเหมือนกันนะ
พล็อตซอมบี้สงครามโลกครั้งที่ 2 อาจเก่าในสื่ออื่นเช่นเกม และอีกหลายต่อหลายเรื่อง และกับหนังมันก็มีหนังหลายเรื่องที่ให้อารมณ์ใกล้เคียง แต่ไอเดียของ บิลลี่ เรย์ ที่เคยเขียนบท The Hunger Games และ Captain Phillips ก็ทำให้ เจ.เจ. ที่จริง ๆ ก็คงผ่านหูผ่านตากับพล็อตแนวนี้ในสื่อใด ๆ มาเยอะยังเอ่ยปากว่า สนุก!
แถมสมทบไปอีกว่าเหมือนได้ ร็อด เซอร์ลิ่ง ผู้ให้กำเนิดซีรีส์สยองสุดคลาสสิกอย่าง The Twilight Zone มาคิดอีกต่างหาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าหนังก็พยายามหาที่ทางของตัวเองนะ เพราะแทนที่จะแฟนซีจ๋าแบบซอมบี้ หนังดันหนักเรื่องภารกิจเสี่ยงตายมากกว่า เรื่องซอมบี้เหมือนเป็นอุปสรรคสำคัญเท่านั้น มากกว่าที่จะบอกได้ว่ามันคือหนังซอมบี้ ใครชอบสายสงครามน่าจะชอบกว่าคนชอบสายซอมบี้เพียว ๆ
หนังเป็นฝีมือการกำกับของ ผู้กำกับที่โด่งดังในออสเตรเลียอย่าง จูเลียส แอฟเวอรี่ จาก Son of a Gun ซึ่งชำนาญในการเล่าเรื่องให้คนดูผูกพันกับตัวละคร ซึ่งจำเป็นกับตัวหนัง Overlord มาก ที่จะค่อย ๆ พาเราติดตามภารกิจของกลุ่มทหารอเมริกันแบบใน Saving Private Ryan แล้วค่อย ๆ บิดไปสู่ความเป็นหนังแฟนตาซีธริลเลอร์
อย่าง ซอมบี้ ซึ่งหนังหลายเรื่องพล็อตมาแบบนี้ก็มักพลาดตกม้าตายกับการยัดฉากแอ๊กชั่นจนลืมไปว่าคนดูยังไม่ได้อินกับตัวละครเลยเฟร้ยไป แต่กับเรื่องนี้แม้เริ่มเรื่องจะตัวละครยุ่บยั่บ แต่เอาจริงก็มีตัวหลัก ๆ แค่ 4-5 คนเท่านั้น ก็ตามได้สบาย ๆ ล่ะนะ แล้วด้วยความอ่อนด๋อยของตัวเอกอย่างทหารผิวดำ หลายครั้งเราก็อดเอาใจช่วย และบางครั้งก็หงุดหงิดโคตร ๆ ในความโลกสวยของนางเหมือนกัน ยังดีว่ามีตัวเอกหลายตัวให้เราเอาใจช่วยด้วย 55
ภาพความสยดสยองของซอมบี้ในเรื่องที่โคตรโหด แบบโหดเว่อ นี่ล่ะสะใจสายสยองแอ๊กชั่นดิบ ๆ เรียล ๆ เพราะงานนี้ใช้ซีจีน้อยมาก แล้วใช้พวกอวัยวะเทียมทำกันแบบสมจริง นึกถึงหนังสัตว์ประหลาดแบบร่างกายแหลกเละ บิดเบี้ยว เนื้อสด ๆ เลือดสาด ๆ กระดูกทิ่มทะลุผิว
ประมาณหนังยุคเก่า ๆ หน่อยที่โหดมากกกก ดูหนัง HDเตือนเลยว่าภาพหนังโหดจริงจัง และความดิบมันก็ไม่จำกัดแค่ช่วงซอมบี้มานะ เพราะฉากสงครามต่าง ๆ ก็กระหน่ำหนักอย่างไม่ทันตั้งตัวหลายรอบเลย โดยเฉพาะฉากเปิดเรื่องที่เป็นการยกพลขึ้นบกของหน่วยพลร่มที่ระอุมาก ไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นเลยในแนวสงครามที่ผ่านมา เป็นประสบการณ์ใหม่เลยล่ะ
นักแสดงที่ไม่ดังมากทำให้เราอินกับเนื้อหาใหม่ได้ง่าย ทั้ง โจแวน อะดีโป ที่ช่ำชองมาจากซีรีส์หลายต่อหลายเรื่องแต่ยังสดสำหรับหนังจอใหญ่ เขาต้องเล่นเป็นทหารผิวสีคนเดียวในกลุ่ม และเป็นตัวแทนผู้ชมในหนังด้วย นับว่าน่าสนใจ ยังไม่นับ ไวแอ็ตต์ รัสเซลล์ ลูกชายของ เคิร์ต รัสเซลล์ ที่มาแสดงสมทบด้วยอีกคนนะ
วิจาร์ณ
ชื่อหนังมาจากปฏิบัติการ Overlord ในการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเนื้อเรื่องนำปฏิบัติการนี้มาเล่าใหม่ในมิติใหม่ รูปแบบหนังแอ็คชั่น ปนสยองขวัญ ระทึกขวัญ โดยหนังออนไลน์เป็นเรื่องราวของทหารกลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องบุกเข้าไปยังฐานที่มั่นของพวกนาซี เพื่อที่จะระเบิดหอวิทยุ และทำให้กำลังพลฝั่งตนเข้ามายึดพื้นที่นี้ได้
ต้องออกตัวเลยว่าชื่นชอบหนังของค่าย Bad Robot หลายๆ เรื่อง และยิ่งมีการการันตีว่าเป็นผลงานของ J.J. Abram ด้วยแล้ว ทำให้ได้กลิ่นของ Cloverfield ลอยมาแต่ไกลเลย (ยกเว้น Cloverfield Paradox นะ อันนั้นเราไม่ชอบเลย) แต่เหมือน Overlord จะเป็นหนังที่ด้อยที่สุดในบรรดาหนังที่มีชื่อ J.J. Abrams เลยก็ว่าได้
อันดับแรกขอชื่นชมบรรยากาศของหนังที่พาเราไปยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้อย่างดี ทั้งการรบต่างๆ เสื้อผ้า ฉาก มันล้วนแล้วแต่สวยงามและชวนระทึกขวัญไม่ใช่น้อย รวมถึงฉากเละเทะชวนแหวะต่างๆ ก็ทำออกมาได้ดีน่ากลัว สยดสยองไม่ใช่เล่น
การดำเนินเรื่องของหนังค่อนข้างทำได้ดี มีจังหวะการเล่าเรื่องที่ไม่น่าเบื่อ สนุก ไม่ชวนง่วงอย่างแน่นอน มันเหมือนเป็นหนังลูกผสมระหว่างหนังสงคราม ทหาร กับหนังสยองขวัญ ระทึกขวัญ เหมือนแบบ Saving Private Ryan ผสมหนังซอมบี้ หรืออมนุษย์ คือเราจะได้เห็นการปฏิบัติหรือยุทวิธีทางการทหาร บรรยากาศ
คือครึ่งเรื่องแรกมันเป็นหนังทหารเรื่องนึงเลยแหละ ซึ่งอีกครึ่งเรื่องหลังตัวหนังจะเล่าให้เห็นถึงการทดลองบางอย่างแบบลับๆ ของพวกนาซี ซึ่งก่อให้เกิดอมนุษย์ขึ้นมา (ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันไม่ใช่ซอมบี้ ไม่ใช่ผี ไม่ใช่สัตว์ประหลาด) หนังมีจังหวะระทึก ลุ้น ตื่นเต้น อยู่เป็นระยะๆ ตลอดทั้งเรื่อง เพราะหลายๆ ฉากทั้งโหด ดิบ เลือดสาดแบบสุดๆ
แต่หนังมันไม่สามารถพาเราไปผูกพันกับตัวละครสักเท่าไหร่ อีกทั้งนักแสดงก็ไม่ได้แสดงโดดเด่นจนน่าจดจำเลยสักคนเดียว เราไม่ได้อยากเอาใจช่วยตัวละครเลย เนื้อเรื่องเรียบง่าย เป็นเส้นตรง เดาง่ายแบบสุดๆ ไม่ซับซ้อน ไม่หักมุมใดๆ ทั้งสิ้น ถึงแม้หนังจะดำเนินเรื่องสนุก จังหวะในการเล่าโอเค เป็นแนวลูกผสมหนังสงคราม สยองขวัญระทึกขวัญ
แต่บทมันกลับทำให้มันไปไม่สุดสักทาง ไม่ว่าจะเรื่องเกี่ยวกับความเป็นทหาร ปฏิบัติการณ์ต่างๆ ที่เหมือนจะมาดีนะ แต่ก็ตกม้าตายซะดื้อๆ ทุกอย่างมันดูง่ายไปหมด เหมือนไม่มีวิกฤตที่เกิดขึ้นกับตัวละครสักเท่าไหร่ และในด้านพาร์ทสยองขวัญ ระทึกขวัญก็เช่นกัน แรกๆ ปูมาดี น่าสงสัย น่ากลัว แต่พอไปๆ มาๆ เสน่ห์ในตอนแรกหายไปหมดเลย กลายเป็นหนังแอ็คชั่นเกรดบีไปซะยังงั้น ใครที่คาดว่าจะได้เห็นแบบกองทัพซอมบี้ โผล่มาไล่พวกพระเอกต้องหนีเอาชีวิตรอดละก็ ผิดหวังแน่ๆ
ข้อด้อยหลัก
ของหนังเลยที่จับได้คือ มันมีวิธีเล่าแบบเกรดบีหน่อย ๆ เน้นความมันและมองข้ามความสมจริงหลายจุด ซึ่งบางครั้งเราก็หงุดหงิดกับการกระทำที่ไม่สมเหตุสมผลเท่าไรนะ เนื้อเรื่องก็พุ่งตรงแทบจะเส้นตรงไม่ซับซ้อนยุ่งยาก ความเป็นหนังซอมบี้ไม่ได้โดดเด่นด้วยความจงใจให้องค์ประกอบความเป็นหนังสงครามสำคัญกว่า
ก็อาจทำให้ใครที่คาดหวังไปดูหนังวิ่งหนีขยี้ฆ่าซอมบี้เป็นร้อยเป็นพันผิดหวังได้ และเอาจริง ๆ มันก็ไม่ใช่ซอมบี้เสียทีเดียวนะ เพราะคนที่โดนกัดจะไม่เป็นซอมบี้ มันเหมือนสัตว์ประหลาดจากการทดลองมนุษย์มากกว่า ดังนั้นมันต้องมองในแง่หนังสงครามโลกผสมสยองขวัญแนวไซไฟเสียมากกว่า ซึ่งก็โอเคนะ สนุกดี
コメント