บันทึกลับตระกูลล็อค , #รีวิวซีรี่ย์
รีวิว Locke & Key บันทึกลับตระกูลล็อค
อีกหนึ่งซีรีส์ที่เน็ตฟลิกซ์หมายมั่นปั้นมือให้เป็นออริจินัลที่ฮิตติดตลาด ทั้งด้วยเป็นโพรเจกต์ที่ได้ คาร์ลตัน คิวส์ โพรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลเอมมีอวอร์ดส์จากซีรีส์ Lost และ เมเรดิธ เอเวริล โพรดิวเซอร์ซีรีส์ดังอย่าง The Haunting of Hill House มาเป็นครีเอเตอร์ร่วมกันเพื่อดัดแปลงกราฟิกโนเวลชื่อดังที่มีแฟนอยากให้สร้างฉบับคนแสดงมาหลายปี รีวิว Locke & Key
เรื่องย่อ
คีย์เฮ้าส์ (Keyhouse) เป็นคฤหาสน์หลังใหญ่สถาณที่เกิดเรื่องราวหลักนี้ของตระกูลล็อค ที่ตัวเอก 3 พี่น้องได้ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่หลังจากพ่อของเขาถูกฆาตกรรม ที่ซึ่งพ่อของพวกเขาไม่เคยพาใครกลับมาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้เลย จนกลายมาเป็นปริศนาคาใจให้แม่ของพวกเขากลับมาหาคำตอบหลังการตายของสามี แต่กลายเป็นว่าลูกของเธอกลับค้นพบความลับของบ้านหลังนี้ ที่ซ่อนกุญแจวิเศษมากมายที่มีพลังแตกต่างกัน ซึ่งมันจะกระซิบเรียกหาแต่เพียงเด็กๆ ให้ไปพบเจอได้เท่านั้น
อีกหนึ่งซีรีส์ที่เน็ตฟลิกซ์หมายมั่นปั้นมือให้เป็นออริจินัลที่ฮิตติดตลาด ทั้งด้วยเป็นโพรเจกต์ที่ได้ คาร์ลตัน คิวส์ โพรดิวเซอร์เจ้าของรางวัลเอมมีอวอร์ดส์จากซีรีส์ Lost และ เมเรดิธ เอเวริล โพรดิวเซอร์ซีรีส์ดังอย่าง The Haunting of Hill House มาเป็นครีเอเตอร์ร่วมกันเพื่อดัดแปลงกราฟิกโนเวลชื่อดังที่มีแฟนอยากให้สร้างฉบับคนแสดงมาหลายปี
โดยตอนเปิดตัวของซีรีส์ยังได้ผู้แต่งในฉบับกราฟิกโนเวลอย่าง โจ ฮิล ลูกชายคนดังของ สตีเฟน คิง มาเขียนบทให้ และยังได้ ไมเคิล มอร์ริส ผู้กำกับซีรีส์ดังอย่าง Better Call Saul และ 13 Reasons Why มากำกับให้ด้วย ความน่าสนใจอีกอย่างคือ 2 ตอนสุดท้ายของซีรีส์ยังได้ วินเซนโซ นาตาลี ผู้กำกับแคนาดาคนดังจากหนัง Cube (1997) และเคยร่วมงานกับโจ ฮิลมาแล้วในการทำหนังเน็ตฟลิกซ์อย่าง In the Tall Grass (2019) มากำกับซีรีส์ให้ด้วย
แม้ว่าหน้าหนังดูเป็นแฟนตาซีวัยรุ่นที่มีกลิ่นอายคล้ายๆ หนังดังหลายเรื่องอย่างแฮรี่พอร์ตเตอร์ นาเนีย แต่เรื่องนี้ Netflix ติดเรตไว้ที่ 18+ (สูงกว่า Stranger things ที่ 16+ ซะอีก) หนังจึงเปิดเรื่องราวมาด้วยฉากสยองพร้อมกลิ่นอายหนังสยองขวัญฆาตกรรมทันที ซึ่งเป็นส่วนผสมที่แปลกแตกต่างจากทั่วไปมากอยู่เหมือนกัน
เมื่อซีรีส์เดินเรื่องหลักด้วยแนวแฟนตาซีกับการพบเจอกุญแจวิเศษ ที่แต่ละดอกมีพลังเหลือเชื่อระดับที่เป็นอาวุธร้ายแรงขนาดครองโลกยังได้เลย ซึ่งถ้าเป็นเรื่องอื่นๆ มักมีแค่ 1 อย่างให้ตามล่าหากัน แต่เรื่องนี้กลับขนมาเพียบ ในแต่ละตอนเราจะได้เห็นการพบเจอกุญแจใหม่ๆ กับพลังวิเศษของแต่ละดอกที่น่าอัศจรรย์แตกต่างกัน จนพวกเด็กๆ เข้าใจว่าเป็นเวทมนตร์ แม้จะยังไม่ได้มีคำตอบชัดเจนว่ามันคืออะไรกันแน่
หนังสร้างกุญแจขึ้นมาเป็นปริศนาทิ้งไว้มากมายตั้งแต่เริ่มตอนแรก พร้อมกับเปิดตัวร้ายของเรื่องทันทีแบบไม่ต้องยืดเยื้อรอนานกับฉากสยองขวัญที่เป็นเหมือนหนังผีปีศาจ ที่มีความแฟนตาซีรวมอยู่ด้วยกัน เมื่อจบตอนแรกยากมากที่จะไม่ประทับใจกับความพิเศษของส่วนผสมที่ประหลาดมหัศจรรย์นี้
เพราะนี่คือผลงานคุณภาพที่สามารถนำไปสร้างหนังภาพยนตร์ฉายโรงดีๆ ได้เลย แต่ทาง Joe Hill เลือกให้มาทำเป็นซีรีส์ใน Netflix แทน ซึ่งก็เป็นคำตอบที่เหมาะที่สุดแล้วด้วยความยาวของต้นฉบับหลายเล่มที่ยังไม่จบ การเล่าเรื่องราวแบบซีรีส์จึงเหมาะกว่าการทำเป็นภาพยนตร์ที่ต้องโดนตัดหั่นไปเยอะแน่นอน
ความพยายามครั้งนี้มีความเสี่ยง
เพราะแรงกดดันจากความคาดหวังจากแฟนกราฟิกโนเวลก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนคือ Locke & Key เคยมีความพยายามดัดแปลงขึ้นจอมาแล้วทั้งจอเงินและจอแก้วแต่ก็ไม่เคยสำเร็จเลย ถ้านับไปอย่างน้อยก็ 3 ครั้งแล้วตั้งแต่ปี 2010 โดยค่ายฟ็อกซ์
และต่อมาก็เป็นโพรเจกต์หนังของยูนิเวอร์แซล ก่อนที่สุดท้ายจะมีการทำตัวไพลอตซีรีส์ไปเสนอที่สตรีมมิงเจ้าดังอย่าง ฮูลู และถูกปฏิเสธมา จนมาเข้ามือคู่แข่งอย่างเน็ตฟลิกซ์ที่อนุมัติให้สร้างนี่เอง เรียกว่าตัวซีรีส์แอบมีความยากในการดัดแปลงจนค่ายใหญ่ถอยมาแล้วหลายครั้ง อย่างน้อยเราก็เห็นว่าตัวเนื้อหาน่าจะมีรายละเอียดมากจนเหมาะกับการเป็นซีรีส์มากกว่าหนัง และนี่น่าจะมาถูกทางอยู่พอประมาณ
ปัญหาของซีรีส์ขนาดยาวโดยเฉพาะซีรีส์ในเน็ตฟลิกซ์คือ มักมีประเด็นน่าสนใจในหน้าหนังแต่ก็มักจะเข้าประเด็นสำคัญหรือทำให้รู้สึกสนุกได้ช้า ผู้ชมต้องอาศัยความอดทนในช่วงหลายตอนแรกอยู่พักใหญ่กว่าจะเริ่มลุ้นกับพลอตจริง ๆ ของซีรีส์นั้น และสำหรับ Locke & Key เองก็เช่นกัน แม้ในตอนแรกซีรีส์จะเปิดตัวอย่างน่าสนใจทั้งประเด็นดาร์ก ๆ ว่าแม่และลูกในครอบครัวล็อคต้องย้ายมาบ้านของตระกูลฝั่งพ่อ
หลังจากที่สูญเสียหัวหน้าครอบครัวที่มีอาชีพครูต้องจากไปในเหตุโศกนาฏกรรมที่เด็กนักเรียนเพี้ยนตามมายิงที่บ้าน ซึ่งจั่วหัวมาก็ถือว่าดาร์กพอควรกลับหนังแนวแฟนตาซีที่เด็กดำเนินเรื่อง โดยใน 3 พี่น้องล็อคที่เป็นตัวนำ ตัวน้องชายคนเล็กที่ได้ยินเสียงกระซิบของกุญแจวิเศษคนแรกอย่าง โบดี้ (แสดงโดย แจ็กสัน โรเบิร์ต สก็อตต์ หรือ จอร์จี้ จากหนัง IT) ก็อายุเพียง 6 ขวบเองด้วย
นอกจากนี้ตัวขับเคลื่อนเรื่องสำคัญอย่างพลังของกุญแจวิเศษแต่ละดอกก็ไม่ได้แฟนซีหวานแหววเลย เช่นดอกแรกที่เป็นกุญแจกระจกที่จะหลอกล่อคนเข้าไปติดห้องวงกตในมิติกระจกจนตาย หรือดอกที่เป็นพระเอกอย่างกุญแจหัวที่จะไขเข้าไปสู่โลกในสมองของคนที่มีเงื่อนไขการนำเข้า-การเอาออกสิ่งของในโลกนั้นแล้วกระทบกับสมองของตัวคนได้
อย่างที่พี่สาวคนรองอย่าง คินซี่ (เอมิเลีย โจนส์ จากหนัง High-Rise) เลือกจะเอาความกลัวของตนเองออกมาจากหัวจนทำให้เธอเปลี่ยนจากเด็กที่เจ้าระเบียบและขี้กังวลกลายเป็นคนกล้าและขาดการยั้งคิดไป ก็ดูจะไฮคอนเซ็ปต์พอสมควร มองในแง่นี้ซีรีส์จึงไม่ได้ประนีประนอมกับคนดูและมุ่งไปที่กลุ่มผู้ชมเด็กโตจนถึงวัยหนุ่มสาวขึ้นไปเสียมากกว่า
โดยยังไม่ต้องพูดถึงประเด็นการสู้รบกับปีศาจในร่างมนุษย์เช่นเด็กเพี้ยนนาม แซม ที่ปัญหาครอบครัวนำมาสู่การถูกปั่นหัวง่ายและกลายเป็นฆาตกรในที่สุด หนัง HDหรือกระทั่งปีศาจตัวจริงอย่าง ดอดจ์ (เลย์สลา ดี โอลิเวียรา จาก In the Tall Grass) หญิงในบ่อน้ำที่โบดี้ไปเจอ ผู้ที่ใช้ทั้งพลังรอบรู้ในเรื่องกุญแจ ความเจ้าเล่ห์และความเหี้ยมอำมหิตฆ่าคน (แม้แต่เด็กเล็ก) เป็นว่าเล่น ก็เสริมภาพรวมของซีรีส์ให้เป็นแนวดาร์กน้อง ๆ Stranger Things อยู่พอสมควร (แต่ก็ยังห่างไกลความโหดด้านภาพจากหนัง IT ในประเภทหนังเดียวกัน)
เอาว่ากันจริง ๆ ซีรีส์ใช้เวลาปูพื้นความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละครในเมืองกับครอบครัวล็อคอยู่พอควร โดยระหว่างนั้นก็พัฒนาพลอตเรื่องของการตามหากุญแจวิเศษเพื่อต่อกรปีศาจร้ายไปด้วย และจะเริ่มดึงคนดูหนัก ๆ จริง ๆ ก็ปาไปตอนที่ 7 ไปแล้ว ตั้งแต่ว่าตัวร้ายอย่าง แซม และ ดอดจ์ ได้กลับมาแท็กทีมกันสมบูรณ์นั่นเอง
ตรงนี้ก็ตอกย้ำอีกครั้งว่าซีรีส์ไม่สามารถเอาอยู่ด้วยการขับดันด้วยซับพลอตเรื่องความสัมพันธ์ของตัวละคร เช่น ปัญหารักสามเส้าของคินซีย์ หรือปัญหาการอยากเป็นที่ยอมรับในสังคมโรงเรียนใหม่ของ ไทเลอร์ พี่ชายคนโต แม่ที่ต้องสู้กับอาการติดสุราและความอยากปกป้องลูก ๆ โดยไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเว็บสตรีมหนังเพราะผู้ใหญ่จะจดจำเรื่องเวทมนตร์ไม่ได้ และโบดี้น้องคนเล็กที่ต้องเผชิญปีศาจใกล้ชิดที่สุด ก็อาการหนักจากช่วงกลางของซีรีส์ที่บทของเขาหายไปพักใหญ่ ๆ เลย
ส่วนเรื่องพลังของกุญแจเองก็มีทั้งที่น่าสนใจ ถูกใช้เป็นตัวเอกอย่างกุญแจหัวที่เข้าไปดูความคิดคน กุญแจไปไหนก็ได้ และกุญแจพลังเพลิง และก็มีบางดอกที่ไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไรกันแน่นอกจากขับเรื่องให้เคลื่อนไปเฉย ๆ อย่างกุญแจที่ไขต้นไม้เรืองแสงที่เก็บขวดโหลความทรงจำ
ส่วนกุญแจบางอันก็พลังเว่อวังเช่นกุญแจกล่องเสียงเพลงที่สั่งให้ใครทำตามก็ได้ ซึ่งส่วนที่น่าเสียดายของซับพลอตส่วนนี้คือมันถูกใช้ประโยชน์จริง ๆ น้อยมากในเรื่อง และหลายดอกก็ดูเป็นช่องโหว่ให้กับเนื้อหาด้วย เช่นว่า ทำไมไม่เอากุญแจกล่องเพลงหรือกุญแจกระจกมาสู้กับตัวร้าย อะไรแบบนั้น
สรุป
ยอมรับว่าซีรีส์กลับดูสนุกเพราะเหล่าตัวร้ายที่มีความเก่งฉลาดและคาดเดายากว่าจะทำอะไรเสียมากกว่า และเมื่อคนดูเริ่มต่อติดซีรีส์ก็ดูสนุกขึ้นมาก แม้จะไม่ชวนลุ้นชวนให้อยากดูแบบรวดเดียวจบก็ตามแต่ก็เป็นอีกซีรีส์ที่มีเอกลักษณ์และเสน่ห์ในแบบตัวเองที่แตกต่างจากซีรีส์แนวแฟนซีเรื่องอื่น ๆ และเมื่อพิจารณาว่าตัวซีรีส์สามารถพัฒนาต่อไปได้อีกหลายซีซัน
จากกุญแจวิเศษอีกหลายดอกที่ยังอยู่ในบ้าน (ตอนนี้ออกมาประมาณ 11 ดอก) ปริศนาใหญ่อย่างประตูสีดำในถ้ำติดทะเลคืออะไรกันแน่ และปีศาจที่เหลือรอดอยู่นั้นจะก่อการใด ๆ ขึ้นอีกโดยที่เหล่าตัวเอกยังไม่รู้ตัว ก็ถือว่าประสบความสำเร็จพอตัว เพราะล้วนเป็นจุดแข็งที่น่าติดตามของซีรีส์เองทั้งสิ้น วัดภาพรวมเป็นอีกหนึ่งซีรีส์ที่น่าติดตามต่อไป โดยเฉพาะใครที่ดูถึงตอนสุดท้ายน่าจะรอดูซีซันต่อแน่นอน แต่ก็ไม่ใช่ซีรีส์ที่ติดหนึบขนาดต้องกวาดรอบเดียวจบซีซันอย่างบางเรื่องเท่านั้นเอง
Comments