top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนattempt pai

Kingdom Season 2

อัปเดตเมื่อ 11 พ.ค. 2563

ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด , #รีวิวซีรี่ย์

ดูหนัง

รีวิว Kingdom Season 2 - ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด


Kingdom Season 2 น่าจะติดทำเนียบซีรีส์ Netflix ที่ผู้คนรอคอยมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยนะครับ ภายหลังจากฉาย Season แรกไปเมื่อปีก่อนแล้วจบด้วยความค้างคาจนผู้ชมค้างเติ่งกับความพีคในสถานการณ์ที่เพิ่มประเด็นชวนสงสัยขึ้นร้อยแปดพันประการให้มาหาคำตอบกันต่อในซีซั่นที่ 2 ว่ากันง่ายๆ คือตอนจบซีซั่นแรก ผู้ชมได้คำถามกลับมามากกว่าคำตอบนั่นเอง ซึ่งหลังจากการอดรนทนมาแรมปี ก่อนใช้เวลาเพียง 5 ชั่วโมงเศษๆ เพื่อไล่ดูรวดเดียวจบ 6 ตอนเมื่อช่วงวีคเอนด์ที่ผ่านมา คำตอบส่วนใหญ่ก็ได้รับความคลี่คลาย เพียงแต่ในอัตราความตื่นเต้นที่ออกจะจางกว่าซีซั่นแรกไปสักหน่อย รีวิว Kingdom Season 2


เรื่องย่อ


เหตุการณ์ต่อเนื่องจากซีซันแรกที่องค์ชายรัชทายาทอีชางถูกขุนนางชั่วโจฮักจูสกัดอยู่ในเมืองซังจูเพื่ออยู่รบกับกองทัพผีดิบที่ไม่กลัวแสงแดดอีกต่อไป ฝ่ายหนึ่งล่มสลาย อีกฝ่ายเรืองอำนาจ ถึงคราวนองเลือดทั้งแผ่นดิน สงครามเลือดสาดระหว่างคนเป็นกับคนตายที่ไม่มีใครหนีพ้น ชะตากรรมของโชซอนจะเป็นอย่างไรต่อไป


Kingdom หรือชื่อไทย ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด กลับมาในซีซันที่ 2 หลังจากปล่อยแฟน ๆ ค้างคามาปีกว่าหลังจากจบซีซันแรก โดยยังได้ทีมงานสร้างทั้งผู้กำกับ คิมซองฮุน และมือเขียนบท คิมอึนฮี กลับมาสานต่อ พร้อมนักแสดงชุดเดิมคับคั่งทั้ง จูจีฮุน, แบดูนา และ ริวซุงยอง กลับมารับบทเดิม โดยยังมีตัวละครใหม่เสริมเข้ามาอีกหลายตัว โดยที่เด็ดสุดคือการมาร่วมแจมของ จอนจีฮยอน หรือ ยัยตัวร้าย จากหนัง My Sassy Girl ที่นับเป็นการกลับคืนจอครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2017 เลยด้วย


ซีรี่ย์ Netflix 2020 เรื่องแรก ไม่แนะนำเรื่องนี้ไม่ได้เลย เพราะว่ามาแรงแซงทุกเรื่องจริงๆ กับ Kingdom Season 2 ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด ซีรี่ย์เกาหลีย้อนยุคสมัยโชซอน ซึ่งเรื่องราวในซีซั่น 2 นี้ต่อจากซีซั่นแรกก็คือ องค์รัชทายาทอีชาง (รับบทโดย จูจีฮุน) ยังคงสู้กับกองทัพซอมบี้ที่เมืองซังจู


แต่สุดท้ายก็ต้านไม่ไหว ด้าน หมอหญิงซอบี (รับบทโดย แบดูนา) ก็ได้ไปพบสมุนไพรฟื้นคืนชีพในป่าลึก และได้หนีซอมบี้จนไปเจอกับ โจฮักจู (รับบทโดย รยูซึงรยง) เรื่องราวถูกเปิดเผยว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังโรคระบาดก็คือเขานั่นเอง ทำให้ทหารหันมาเข้าฝั่งองค์รัชทายาทและนำกำลังบุกโจมตีวังหลวง ส่วนในวังหลวงก็ถูกพระมเหสียึดอำนาจ หลังจากโจฮักจูผู้เป็นพ่อรู้ความจริงว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์ และเอาเด็กทารกลูกคนอื่นมาแอบอ้าง จึงวางยาพ่อตัวเอง และเตรียมปล่อยซอมบี้ที่ขังไว้มาจัดการกับองค์รัชทายาท


เรื่องราวในภาคนี้ที่เหมือนจะเป็นบทสรุปแต่ยังไม่จบ! เพราะแม้องค์รัชทายาทจะสละบัลลังก์ให้องค์ชายน้อยไปแล้ว แต่ในตอนท้ายเรื่องยังปูไปอีกว่าสมุนไพรฟื้นคืนชีพนั้นมีที่มาจากต่างแดน และมี หญิงสาวปริศนา (รับบทโดย จอนจีฮยอน) โผล่มาในตอนท้าย ทำให้สงสัยกันว่า เธอคือใคร? แถมพยาธิในตัวองค์ชายน้อยก็ยังอยู่ ทั้งที่ซอมบี้ถูกกำจัดจนหมดไปแล้ว เรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป? ต้องอดใจรอชมซีซั่น 3 กันอีกนะคะ แต่ตอนนี้ไปชม ซีรี่ย์ Netflix น่าดู เรื่องนี้กันก่อนจะได้ไม่ตกเทรนด์


ด้านเนื้อเรื่อง


สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับซีรีส์นี้ก็คือ การเล่าเรื่องที่กระชับรวดเร็ว ไม่มีจุดพักหายใจให้พักสายตาจากจอสักเท่าไหร่นัก อย่างที่นักแสดง ริวซุงยองที่รับบทโจฮักจูเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่าตอนเขาอ่านบทเขาอ่านรวดเดียวจบตอนที่ 4 เลยทีเดียว และก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ สถานการณ์พลิกผันและเดินไปข้างหน้าแบบนันสต็อปมาก ๆ


แม้จะมีการใช้แฟลชแบ็กเพื่อเล่าย้อนบ้างแต่ก็เป็นการเปิดเผยสาระสำคัญอย่างเช่น อดีตเมื่อ 3 ปีก่อนที่ตัวละครมักพูดถึงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือบางครั้งก็เพื่อมาเรียกน้ำตาจากการย้ำความสัมพันธ์ในอดีตของตัวละครบางตัวด้วย เมื่อไม่มีจังหวะหายใจและต้องคอยคิดตามเรื่องราวที่หลอกล่อผู้ชมไปมาตลอดเวลา


ทำให้ลดการมองเห็นรอยโหว่รอยรั่วของเรื่องไปได้ด้วย อย่างพวกการกระทำของตัวละครบางตัวที่เหมือนจะเท่แต่ก็ดูโง่ ๆ ไปพร้อมกันเมื่อคิดตามในตอนหลัง แต่ในจังหวะที่ดูมันก็ตื่นเต้นจนลืมคิดไปเลย จะบอกว่าซีรีส์แก้จุดอ่อนของบทด้วยบทก็ว่าได้


พวกกลุ่มตัวละครหลักเองยังมีบทบาทที่สำคัญในเส้นเรื่องของตนอย่างไม่มีเผลอไผล คือมีเป้าหมายของแต่ละตัวละครชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลาที่ผ่านไป โดยเฉพาะตัวองค์ชายอีชางที่เรารู้สึกแค่เขาอยากทวงสิทธิ์อันถูกต้องของตนจากขุนนางชั่ว แต่ในซีซันนี้เขาก็ได้รับการผ่านอุปสรรคที่ทำให้แสดงจุดยืนของตนเองชัดขึ้นเรื่อย ๆ

จนทำให้เกิดฉากจบที่คงไม่มีใครคาดคิด การมีเป้าของตัวเองชัดถือว่าเป็นจุดแข็งที่ดีเพราะทำให้นักแสดงทั้งบทหลักและบทรองโฟกัสกับฉากขายของตัวเองและเกิดซีนที่สวยน่าจดจำของแต่ละตัวละครได้ทั้งสิ้น ขนาดตัวละครรองตัวใหม่ที่เสริมเข้ามาในซีซันนี้ยังมีฉากเท่ ๆ เลยนอกจากนั้นยังทำให้ซีรีส์นี้ขับดันเรื่องราวด้วยพลอตและยังให้พัฒนาการของตัวละครส่งเสริมเนื้อเรื่องไปได้พร้อมกัน จริง ๆ ก็เป็นเรื่องที่เกาหลีทำเก่งอยู่แล้ว


แต่ที่ต้องชื่นชมขึ้นไปอีกในซีซันนี้คือเส้นกราฟของเรื่องที่วูบวาบมาก และยังใส่เรื่องของการสกัดป้องกันโรคระบาดที่อินเทรนด์ช่วงนี้สุด ๆ ไปพร้อมกับเรื่องของการแก่งแย่งชิงดีในอุดมการณ์การปกครองที่ต่างกันอันเป็นเรื่องสากลได้กลมกล่อม ไม่มีคำว่ามิตรหรือพี่น้องอีกต่อไป ทำให้เรื่องราวยากคาดเดา สนุกตั้งแต่ต้นจนจบ แม้หลายอย่างเราจะคาดเดาได้มาตั้งแต่ตอนจบซีซันแรกอย่างเรื่องคนทรยศ หรือเรื่องโอรสที่จะประสูติ แต่มันก็ยังมีรายละเอียดบิดให้เรื่องมีน้ำหนักน่าสนใจไปต่อได้อีก


การแสดง


การแสดงของนักแสดงก็ถือว่าดีดุดันสมบทบาท มีความเป็นทีมมากกว่าโดดเด่นเดี่ยว ๆ เป็นรายบุคคล แต่กระนั้นดูหนังก็ต้องชม แบดูนาที่ยังเล่นได้พอดีแบบไม่ล้น จูจีฮุนที่ให้ความรู้สึกว่าตัวละครมีพัฒนาการอยู่ตลอดเวลา ริวซุงยองที่ยังใช้น้อยทำมากเล่นกับบทนิ่ง ๆ ใช้สายตากับน้ำเสียงข่มฝั่งพระเอกเอาอยู่หมัด และเป็นตัวร้ายที่ร้ายได้ของไม่หมด สมศักดิ์ศรีในการขับเคลื่อนเรื่องด้วยความชั่วร้ายน่าหมั่นไส้และน่าสะพรึงไปพร้อมกันมาก ๆ

รีวิว Kingdom Season 2

ทางด้านงานสร้างก็มีฉากใหญ่ ๆ มาขายได้ตลอด โดยเฉพาะฉากช่วงท้ายที่เข้ามาในพระราชวังลากไปจนถึงการต่อสู้ครั้งสุดท้ายที่ออกแบบมาสวยมาก ๆ มุมกล้องเบิร์ดอายวิวโชว์พลังของการรุกของซอมบี้กับการตั้งรับสุดแรงต้านของพวกพระเอกได้ดีหลายครั้ง แม้จะติดใจอยู่บ้างกับฉากรบเปิดเรื่องที่ต่อเนื่องจากซีซันแรกมาว่าจะต้องเป็นฉากใหญ่ยักษ์ที่เมืองซังจูแน่ ๆ

แต่เอาจริงมันก็ไม่ขนาดที่คาดหวัง เพราะเหมือนเรื่องจะรีบเล่าไปยังจุดถัดไปเสียมากกว่า ทำให้ฉากสงครามตอนต้นเรื่องนั้นไม่ตื่นเต้นมากเท่ากับฉากเมืองทงเรแตกหรือฉากพระเอกอพยพชาวบ้านหนีซอมบี้ผ่านป่าเขาในซีซันแรกได้เลย แต่ก็เพราะบทซีซันนี้ปั่นหัวเราไม่หยุดและเล่าจุดต่อจุดสถานการณ์แบบชวนให้รู้เรื่องข้างหน้าตลอดทำให้เราไม่ทันรู้สึกถึงจุดอ่อนพวกนี้


สรุป


อย่างไรก็ตามเมื่อมองในภาพรวมของทั้ง 6 ตอนเว็บดูหนังก็ยังสามารถพูดได้ว่า Kingdom Season 2 เป็นซีรีส์ที่เต็มไปด้วยคุณภาพ โดยเฉพาะในด้านงานโปรดักชั่นที่ไม่ไก่กาเลย ไม่ว่าจะฉากต่างๆ หรือเสื้อผ้าหน้าผมเรารู้สึกได้ว่านี่คือหนังที่ลงทุนไม่ใช่แค่โปรยเงินแต่ยังพิถีพิถันในแง่ของกระบวนการ อาจจะติดแค่การจดจำนักแสดงที่พอซีซั่นนี้ดันใส่ชุดคล้ายๆ กันแถมผู้ชายก็ไว้หนวดกันแทบทุกคน (ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจได้จากสถานกาณณ์ในเรื่อง) ก็ทำให้เกิดความยากขึ้นมาในการจดจำหรือแยกแยะ แต่พอช่วงกลางๆ เรื่องก็จะเริ่มหมดปัญหานี้ไป


และแม้จะรู้สึกว่ามันมีปัญหาในการดำเนินเรื่องนิดหน่อย แต่ก็โอเคที่มันเล่าเรื่องกระชับ ทั้งยังคงรู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ในแง่ของไดเรคชั่นที่เรื่องดำเนินไปในตอนจบ บางคนอาจสัมผัสได้ว่ามันกำลังดูจะออกทะเลชอบกล แต่เหตุผลในเรื่องก็มีให้ไว้หลวมๆ จนหากจะนำไปต่อยอดก็พอถูไถไปได้โดยไม่ตะขิดตะขวงนัก ซึ่งส่วนตัวเป็นคนรับอะไรแบบนี้ได้ง่ายอยู่แล้ว จะท่ายากท่าพิสดารขนาดไหนก็พร้อมจะเปิดใจพิสูจน์ นอกจากนี้กับเซอร์ไพรส์ในฉากสุดท้าย ก็ช่วยกระตุ้นต่อมจินตนาการให้ไกลออกไปอีกว่าซีซั่นหน้าจะเล่าเรื่องยังไงกันนะ


และถ้าใครอยากรู้ว่ามีซีซันต่อหรือไม่ ทางผู้เขียนบทอย่าง คิมอึนฮี ได้ให้สัมภาษณืไว้แล้วว่าถ้าแฟน ๆ ต้องการและนายทุนสนับสนุนเธอสามารถเขียนได้เป็น 10 ซีซันเลย และก็ตามนั้นเลย แม้ช่วงปลายตอนที่ 6 ของซีซันนี้จะทำให้รู้สึกว่าเออเรื่องมันลงตัวหมดแล้วไม่น่ามีภาคต่อแล้วล่ะ แต่ 10 นาทีสุดท้ายที่ จอนจีฮยอนจะปรากฏตัวตามข่าวลือนั้น ต้องบอกว่าเรื่องยังไปได้อีกไกลล่ะงานนี้ รอดูเลย


โดยรวมใครติดตาม Kingdom อยู่แล้ว คิดว่าเรื่องนี้คงไม่พลาดกันอยู่แล้ว แต่ถ้าใครยังไม่เคยดู แนะนำให้ดูรวดเดียว 2 Season ไปเลยครับ โดยเฉพาะการเมืองช่วงชิงอำนาจ เพราะมีประโยคคม ๆ จากในซีรีส์เยอะมาก ส่วนฉากซอมบี้แม้ว่าภาพรวมจะออกมาน้อย (ไปเน้นการเมืองมากกว่า) แต่ฉากที่มีซอมบี้ก็ทำออกมาได้ดีมาก ๆ เลยทีเดียวครับ

ดู 26 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

コメント


bottom of page