รีวิว Kin - โคตรปืนเอเลี่ยน
คะแนนรีวิวจาก 2 เว็บดังไม่สู้ดีนัก ทั้งจาก Imdb 5.8/10 ส่วน Rotten Tomatoes นี่คะแนนแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทางฝั่งนักวิจารณ์ให้เพียง 33% ส่วนทางด้านผู้ชมให้ถึง 63% เรียกได้ว่าคนละทางกันเลยทีเดียว ซึ่งพอได้ดูก็พอจะเข้าใจบ้างแหละ รีวิว Kin โคตรปืนเอเลี่ยน
เรื่องย่อ
สิ่งที่เขาค้นพบ คือสิ่งที่จักรวาลตามล่า เมื่ออาวุธ “โคตรปืนเอเลี่ยน” ที่จักรวาลออกตามล่า ต้องตกอยู่ในมือเด็กผู้ชายธรรมดาหนึ่งคน จากสุดยอดอาวุธถูกสร้างมาเพื่อฆ่า แต่เขาจะใช้มันเพื่อปกป้องคนที่เขารักและอนาคตโลก ผลงานไซไฟสุดคูลจากผู้อำนวยการสร้าง Arrival และซีรีส์ฮิต Stranger Things
เมื่อถูกตามล่าอย่างบ้าเลือดจาก เทเลอร์ (เจมส์ ฟรังโก) หัวหน้าแก๊งอันธพาล ทำให้ อีไล (ไมลส์ ทรูอิต) และ จิมมี (แจ็ค เรย์นอร์) สองพี่น้องร่วมชะตากรรมจำต้องสู้โดยมีเพียง ปืนมหาประหลาด ที่มีเพียงอีไลเท่านั้นที่สามารถใช้งานได้ แต่แน่นอนว่าอาวุธทรงอาณุภาพย่อมมีเจ้าของตามล่าทวงคืนด้วยเช่นกัน
ตามเครดิตแลัว KIN ดัดแปลงมาจาก Bag Man (2014) หนังสั้นของ โจนาธาน และ จอช เบเกอร์ ที่ได้นักแสดงหนุ่มผิวสีสุดฮอต ไมเคิล บี จอร์แดน จาก Black Panther(2018) มาขอเป็นป๋าดันให้โปรเจคต์ของทั้งคู่ ซึ่งหนังยังคงไอเดียเด็กหนุ่มผิวสีที่ไปเจอปืนเลเซอร์มหากาฬไว้เหมือนเดิม
แต่คราวนี้ได้มีการปูคาแรกเตอร์ของ อิไล ใหม่ให้กลายเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกครอบครัวผิวขาวเก็บไปเลี้ยงและเพิ่มประเด็นความรักระหว่างพี่น้องเข้ามา แต่ปัญหาสำคัญของการดัดแปลงหนังสั้นมาสู่หนังยาวแทบทุกเรื่องคงหนีไม่พ้นการเพิ่มเรื่องราวที่เยอะเกินไปและพาเรื่องออกทะเลจนแทบวกกลับมาไม่ได้ ซึ่งกรณีของ KIN ถือว่าเป็นอย่างหลัง
ปัญหาสำคัญประการแรกคือหนังมีไอเดียดีๆมากมาย แต่เมื่อประกอบรวมกันแล้วกลับล้มเหลวในการโน้มน้ามชักจูงคนดู ตั้งแต่ประเด็นของกลุ่มคนที่มาทำปืนตกไว้บนโลก ที่ช่วงแรกๆเหมือนหนังตั้งใจจะเอามาเป็นบทสั่งสอนคนดูว่าเราไม่ควรไปเอาของของคนอื่นเพื่อให้คำพูดของพ่ออีไลดูหนักแน่น
แต่ต่อมาบทหนังแทบจะทิ้งประเด็นนี้ไปเลยเพื่อจะได้เพิ่มฉากไล่ล่าของแก๊งอันธพาลจนเราไม่รู้ว่าความสำคัญของอาวุธชิ้นนี้คืออะไรกันแน่ และการที่มันมีอยู่แค่กระบอกเดียวก็พาลให้นึกไปว่าหนังคงยากจนมาก เพราะทั้งกองทัพมีปืนเลเซอร์แค่กระบอกเดียวเท่านั้น
ส่วนประเด็นครอบครัวที่จนแล้วจนรอดตั้งแต่ต้นจนจบ เราก็ไม่รู้สึกเชื่อมั่นในความรักของ จิมมี เลยสักนาทีที่เขาพยายามทำดีให้น้อง ยิ่งช่วงแรกหนังปูให้เห็นดรามาเรื่องการเป็นตัวซวยของครอบครัว หรือการรู้สึกว่า อีไล กำลังมาแทนที่เขาในครอบครัวก็ยิ่งดูเพิ่มความซับซ้อนโดยไม่จำเป็นไปซะงั้น
แถมยังทำให้เราเชื่อในความรักที่พี่มีต่อน้องได้ยากขึ้นไปอี๊กกกกก แถมคนน้องอย่าง อีไล ก็เชื่อ จิมมี ง่ายเกิ๊น หลังผ่านเหตุการณ์สำคัญมา อีตา จิมมี กลับพา อีไล ไปทัวร์ยกแก๊งซะงั้น จากหน้ังไซไฟ หนังครอบครัว กลายเป็นหนังโรคทริปอีกแล้วค่ะคุณขา โอย…เพลีย
สิ่งที่เซอร์ไพรส์จริงๆกลับเป็นทัพนักแสดงที่มอบแอ็คติ้งดีๆให้แทบตลอดเรื่องนอกจาก ไมลส์ ทรูอิต และ แจ็ค เรย์นอร์ ในบทพี่น้องแล้ว ก็ยังมีเจมส์ ฟรังโก ในบท เทเลอร์ หัวหน้าแก๊งอันธพาลสุดโฉด ที่แอ็คติ้งแทบลอกมาจาก Future World ที่เพิ่งออกจากโรงไปไม่นาน หรือโซอี้ คราวิตซ์ ในบทนักเต้นจั้มบ๊ะเปี่ยมคุณธรรม แต่ต่อให้เล่นดีขนาดไหน ในเมื่อบทพังผลลัพธ์เลยไม่ได้ออกมาสวยงามเท่าใดนัก
พิจารณาจากแง่มุมต่างๆแล้วถือว่าพลาดทุกกลุ่มเป้าหมายจริงๆสำหรับ KIN ที่คอหนังแอ็คชั่นก็น่าจะมานั่งหาว ส่วนคอดราม่าไซไฟก็คงต้องละลาย ทัมใจ กินหลังดูจบเพราะเพลียกับตรรกะของหนัง ทั้งที่บทหนังมีประเด็นน่าสนใจมากมายแต่กลับผสมผสานออกมาได้ไม่กลมกล่อมเอาเสียเลย
วิจาร์ณ
จากผลงานของผู้สร้าง Stranger Things และ Arrival หนังไซไฟทริลเลอร์ชวนตะลึงที่สั่นสะเทือนวงการหนังไซไฟมาแล้ว ตอนนี้ถึงคิวของผลงานชิ้นใหม่กับภาพยนตร์แอคชั่นกระตุ้นอะดรีนาลีนที่เจือด้วยกลิ่นอายความเป็นไซไฟคอนเซปต์ล้ำใน “Kin” กับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่อของเด็กชายธรรมดาคนหนึ่งที่รับบทโดย “ไมล์ส ทรุตต์” (The New Edition Story)
ที่บังเอิญไปพบอาวุธทำลายล้างจากต่างดาว เขาจึงนำมันมาช่วยเหลือพี่ชายบุญธรรม (รับบทโดย “แจ็ก เรย์เนอร์” จาก Transformers: Age of Extinction) ที่เพิ่งออกจากคุก แต่เข้าไปข้องเกี่ยวกับขบวนการสุดโหดของเจ้าหนี้เลือดเย็น (รับบทโดย “เจมส์ ฟรังโก” เจ้าของรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงยอดเยี่ยมจาก The Disaster Artist)
จริงๆ แล้วหนังถูกดัดแปลงมาจากหนังสั้นของผู้กำกับเรื่องนี้เนี่ยแหละ (Jonathan Baker & Josh Baker) ในชื่อเรื่อง Bag Man (2014) ได้ Michael B. Jordan มาเป็น Executive Producer ตัวขับเคลื่อนการทำงานของหนังเรื่องนี้ให้ดูหนัง HD โดย KIN ยังคงคอนเซ็ปเป็นเด็กหนุ่มผิวสีที่มีปืนเลเซอร์ของใครก็ไม่รู้ไว้ในครอบครอง แต่เปลี่ยนเนื้อเรื่องหลักให้มันมีเนื้อหาในการเล่ามากขึ้น มีประเด็นมากขึ้น และเหมือนจะมากเกินไป
การดำเนินเรื่อง
หนังดำเนินเรื่องช่วงต้นเรื่องได้ดี มีการเปิดเรื่องราวตัวละครเด็กหนุ่มได้รวดเร็ว เราสามารถรู้จักนิสัยใจคอของตัวละครตัวนี้ได้เพียงไม่กี่ฉากไม่กี่นาทีเท่านั้น และคนที่มารับบท Eli (Myles Truitt) ก็แสดงได้ดีพอสมควร ไม่แพ้กันกับบทพี่ชาย Jimmy (Jack Reynor) หนังถ่ายทอดสด ซึ่งทั้งสองยังคงประคองหนังให้ไปได้ตลอดรอดฝั่งอยู่บ้าง ส่วนการแสดงของ James Frango ดูไปดูมาชวนให้นึกถึงบทบาทจากหนังสุดพังใน Future World
ซึ่งไม่ใช่เขาแสดงแย่นะ เพียงแต่บทและการดำเนินเรื่องในเรื่องนี้ มันแย่กว่าการแสดงของเขานั่นเอง ส่วนตัวนางเอก(หรือเปล่า?) จะไม่ขอพูดถึงละกัน เพราะเธอโผล่มาน้อยมาก แทบจะไม่มีบทบาทอะไรเลยด้วยซ้ำ และส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้ เห็นจะเป็นกราฟฟิค effect สีสันต่างๆ เป็นทางด้านงานสร้างที่ทำออกมาได้ดี สวยงามเลยแหละ ทั้งฉากแอ็คชั่น การยิงเจ้าปืนเลเซอร์ CG เอยอะไรเอย
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเหมือนหนังจะมั่วไปซะหน่อย หนังดูน่าสนใจและมีอะไรที่น่าจะขยี้ได้อีกเยอะแยะ แต่รู้สึกมันผิวเผินไปซะหมด หนังปูเรื่องได้นานถึงนานมาก และน่าเบื่อพอสมควร อารมณ์เหมือนคุณพึ่งดูซีรีส์ตอนแรก ที่ปูเรื่องราวทั้งหมดของซีรีส์นั้นๆ และค่อนข้างจะน่าเบื่อ พอตอนใกล้ๆ จบตอน ถึงจะมีอะไรน่าสนใจ น่าสนุก และตัดจบ พร้อมขึ้นว่าโปรดติดตามตอนต่อไป! นั่นแหละ หนังเรื่องนี้มันคือความรู้สึกแบบนั้นเลย ก็พอเข้าใจแหละว่าหนังอยากทำภาคต่อ แต่ถ้าภาคแรกมันไม่ดึงดูด คนจะอยากดูภาคสองหรอ?
เริ่มจากประเด็นเรื่องปืน ที่ยังคงเกิดคำถามมากมาย ทิ้งไว้? ทำหล่น? หาย? ใครขโมยมา? หรือยังไง? หนังไม่ได้เจาะลึกถึงประเด็นนี้สักเท่าไหร่
ต่อด้วยประเด็นครอบครัว ที่ดูพังพินาศไปซะทุกส่วน ประเด็นพ่อลูกเอย รวมไปถึงเรื่องที่หนังพยายามปูให้เราเห็นว่าไอ้ตัวพี่เนี่ยมันตัวสร้างปัญหา และเรื่องพี่ชายทะเลาะกับพ่อที่ดูเหมือนเกลียดน้องมาก แต่ตอนหลังกลับรักกันปานจะกลืนกิน พาน้องไปไหนต่อไหน ปกป้องน้องสุดใจขาดดิ้น นั่นจึงส่งผลทำให้ส่วนตัวไม่รู้สึกเชื่อเลยว่ามันรักน้องจริงๆ
สุดท้ายแล้ว KIN คืออะไร? ชื่อคน? ชื่ออาวุธ? หรือชื่อเหล่าเอเลี่ยน? เราแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับปืนนี้เลยรู้เพียงแต่การทำงานของมัน และเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงสามารถใช้ปืนนี้ได้
หนังมีหลายๆ อย่างที่น่าจะทำออกมาได้ดีมากกว่านี้ และมันควรจะจับประเด็นเด่นๆ ไปสักทาง สำหรับใครที่อยากจะไปดูหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ก็อาจจะต้องผิดหวังกันเสียหน่อย พาร์ทสุดท้ายของหนังก็ยังพอให้ความบันเทิงกับเราอยู่บ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องรอดูเสียงตอบรับ และเสียงวิจารณ์ว่าหนังเรื่องนี้จะได้ไปต่อหรือไม่ คุณเท่านั้นที่จะเป็นคนตัดสินมันได้
Kommentare