ขุนพันธ์ 2
รีวิว Khun Phan 2 - ขุนพันธ์ 2
เมื่อปี 2016 ได้มีหนังแอ็คชั่นแฟนตาซี กับหนังเรื่องขุนพันธ์ ที่นับว่าเป็นปรากฏการณ์ เพราะเราไม่ได้เห็นหนังแนวนี้ในยุคหลังของวงการหนังไทยสักเท่าไหร่ ถึงแม้เสียงวิพากษ์วิจารณ์อาจจะผสมปะปนกันไป หนังสนุกแต่บทเละเทะ สะเปะสะปะ ตัดต่องงๆ และข้อผิดพลาดในฉากอีกมากมาย ส่วนข้อดีและจุดแข็งของภาคแรกก็คือคาแรคเตอร์ตัวละคร ทั้งขุนพันธ์ และอัลฮาวียะลู ที่พี่น้อย แสดงได้อย่างยอดเยี่ยม ถึงแม้จะไม่ได้ดีมากแต่มันก็ส่งผลให้มีภาคต่อในปีนี้ขึ้นมา รีวิว Khun Phan 2
เรื่องย่อ
ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร ในยุคที่กฎหมายอ่อนแอ คนชั่วครองเมือง ความยุติธรรมเป็นเพียงคำพูด ทุกพื้นที่ภาคกลางถูกครอบครองด้วยอิทธิพลแห่งเสือฝ้ายและเสือใบที่ลือกันว่า ทั้งแกร่ง ทั้งเดือด และอาคมแรงกล้าที่สุดจนไม่เคยมี “ตำรวจ” คนไหนเฉียดใกล้แม้แต่ปลายเล็บ ขณะนั้น “ขุนพันธ์” (อนันดา เอเวอริงแฮม) หมดศรัทธาในกฎหมายและถูกบีบจากทางราชการ คงไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะกับเขาเท่าการเป็นหนึ่งในโจรเชิ้ตดำของ “เสือฝ้าย” (ผู้พันเบิร์ด-พันเอก วันชนะ สวัสดี) และ “เสือใบ” (เป้-อารกษ์ อมรศุภศิริ) ขีดสุดแห่งพลังอาคมจะถูกท้าทาย เสือร้ายจะปล้นไม่เลือกหน้า ศรัทธาจะล้มหาย ความดีจะกลับตาลปัตร ขุนพันธ์จะถือคำสัตย์ข้างโจร เสือ 3 ตัวจะท่องอาคมเดียวกัน ดวลด้วยเวทย์ สยบด้วยคาถา ล่าหัวกันด้วยอาคม
เมื่อกฎหมายที่ตนเองศรัทธาเล่นงานจนถูกพักราชการ ขุนพันธรักษ์ราชเดช (อนันดา เอเวอริงแฮม) จึงตัดสินใจเล่นนอกกฎด้วยการแทรกซึมเข้าไปอยู่ในกลุ่มโจรเชิ้ตดำที่ทรงอิทธิพลที่สุดในสุพรรณบุรีนำโดย เสือฝ้าย (พ.อ. วันชนะ สวัสดี) และเสือไบ (อารักษ์ อมรศุภศิริ) จนอุดมการณ์ตำรวจถูกสั่นคลอนด้วยคำสัตย์ของโจร
และขณะเดียวกันทางการตำรวจก็ส่ง อัศวิน (นันทวุฒิ บุญรับทรัพย์) นายตำรวจหนุ่มนักเรียนนอกไฟแรงมาประจำที่สุพรรณบุรีเพื่อปราบปรามเหล่าโจรเรียกศรัทธาจากประชาชน และยิ่งขุนพันธ์อยู่กับโจรนานเท่าไหร่เบื้องหลังสกปรกในวงการตำรวจก็ยิ่งถูกขุดขึ้นมาจนสุดท้ายขุนพันธ์ต้องเลือกว่าจะอยู่ข้างโจรที่เป็นดั่งวีรบุรุษหรือเข้าข้างตำรวจที่เลวยิ่งกว่าอาชญากร
หลังห่างหายไป 2 ปีในที่สุด ก้องเกียรติ โขมศิริ ก็ได้ฤกษ์นำขุนพันธ์ ๒ ออกฉาย แม้ว่าเสียงวิจารณ์ของภาคแรกจะออกมาแบบก้ำกึ่ง คือเสียงส่วนใหญ่ก็บอกว่าหนังสนุกดีแต่บทหนังดูจะมั่วซั่วมากและซีจีเข้าขั้นโคม่า แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าการแสดงและการดีไซน์คาแรกเตอร์ตัวละครที่โดดเด่นคือจุดแข็งสำคัญของหนังภาคแรก ซึ่งก็น่าดีใจที่ ก้องเกียรติ ยังคงสานต่อจุดดีของหนังภาคแรก แถมยังกลับมาเล่นใหญ่กว่าเดิมเพราะต้องเล่าเรื่องราวของตัวละครใหม่ที่มีเรื่องราวของตัวเองทั้ง เสือฝ้าย และ เสือไบ ที่ออกแบบมาอย่างเท่จนผู้พันเบิร์ดและเป้ อารักษ์ ได้ควงปืนเล่นฉากแอ็คชั่นสุดเว่อร์วังได้ระดับน้องๆหนังฮีโร่มาร์เวลเลย แถมพัฒนางานเทคนิคด้านภาพให้สมศักดิ์ศรีหนังเกี่ยวกับอาคม แนบเนียนขึ่้นเยอะ และบทหนังยังสร้างประเด็นที่น่าสนใจทั้งเรื่องของคำสัตย์สาบานในหมู่โจร และการต่อสู้ในใจของขุนพันธ์เองว่าเขายังคงเป็นตำรวจหรือไม่สร้างความเข้นข้นให้เรื่องราวน่าสนใจอยู่ตลอด 2 ชั่วโมงของหนัง นอกจากนี้หนังยังดีไซน์ตัวละครแวดล้อมได้น่าสนใจดีท้้ง อัศวิน นายตำรวจที่ถูกไฟคลอกจนต้องแปลงร่างเป็น เรด สกัล เอ้ย..เป็นมนุษย์หน้ากากดูน่าขนลุกอย่างกับผู้ร้ายหลุดมาจากหนังฮีโร่มาร์เวล หรือจะเป็นบรรดาตัวละครสาวๆทั้ง บุศรา (ก้อย รัชวินทร์ วงศิวิริยะ) มาเฟียสาวเจ้าของบาร์เหล้าเขตปลอดกฎหมายก็ให้อารมณ์นางนกต่อทรงเสน่ห์สุดอันตราย และ ทับทิม (อาภา ภาวิไล) คนรักของเสื้อไบที่มีปูมหลังแสนเศร้า
จุดเด่น
จุดที่ยังคงผิดพลาดอย่างน่าเสียดายเช่นเดิมคงหนีไม่พ้นว่า ผ่านมาภาค 2 แล้วเราก็ยังไม่ได้รู้จัก ขุนพันธ์ ดีขึ้นกว่าเดิมนัก เพราะแม้ว่าประวัติของท่านจะแพร่หลายแต่ในเชิงสื่อภาพยนตร์เราก็อยากรู้จักตัวละครนี้มากกว่าแค่สถานะ ตำรวจผู้แก่กล้าอาคม โดยมียังมีจุดที่หนังละเลยที่จะสำรวจทั้งทัศนคติของตนต่อกฎหมายในมือมาเฟีย หรือแม้กระทั่งเว็บสตรีมหนังว่าอะไรที่หล่อหลอมให้ท่านมาสนใจเรื่องวิชาอาคมก็จะมีส่วนช่วยให้เรารู้จักตัวละครและอยากลุ้นกับภารกิจต่างๆมากขึ้น แต่กลับไปเล่าเรื่องราวของเสือไบเป็นตุเป็นตะจนเรารู้จักเรื่องราวของมหาโจรมากกว่าตัวพระเอกเองเสียอีก
วิจาร์ณ
โดยส่วนตัวแล้วไม่ประทับใจกับภาคแรกเสียเท่าไหร่ (ผิดหวังด้วยซ้ำ) แต่พอมีข่าวว่าจะทำภาคสอง ต่อมความอยากดูในตัวผมมันก็ลุกโชนขึ้นมา พร้อมกับกระแสตอบรับคนดูที่ให้ความสนใจอย่างน่าเหลือเชื่อ อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า ยุคหลังๆ หนังไทยก็มีแต่แบบเดิมๆ รักๆ ใคร่ๆ จนเราเริ่มเบื่อกับมัน พอมีแนวนี้ออกมา ย่อมเป็นธรรมดีที่เราจะตื่นเต้นกับมัน บวกกับนักแสดงที่เรียกคนดูได้เป็นอย่างดีอีกด้วย
โดยเนื้อเรื่องในภาคนี้เป็นการเล่าถึงการปราบปรามเสือเมืองสุพรรณของขุนพันธ์ โดยจับประเด็นของเสือฝ้าย และเสือใบ ที่ยังคงการเล่าเรื่องสไตล์คาวบอยผสมความเป็นไทยด้วยคาถาอาคม เรื่องราวยังคงอิงเอามาจากประวัติศาสตร์และแต่งเติมอีกนิดหน่อยเพื่อความบันเทิงให้กับหนัง
ภาคนี้เหมือนเป็นการ “กลบจุดด้อย” ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในภาคแรกทั้งเรื่องความผิดพลาดในบางฉาก, เรื่องการตัดต่อ และบท ภาคนี้ใส่ใจรายละเอียดในจุดเล็กจุดน้อยมากขึ้นกว่าเดิม บทที่ดูกลมกล่อมลงตัวมากขึ้น การตัดต่อที่ดูไม่เละเทะสะเปะสะปะเหมือนภาคแรก แถมในภาคนี้ยังมีประเด็นการเมือง คุณงามความดี ประเด็นกรโกงกิน การเอาเปรียบ อำนาจของเงินตรา ให้ขบคิดในหลายๆ ฉาก ซึ่งมันทำให้หนังมีมิติขึ้นเยอะกว่าภาคแรกพอสมควร และ “สานต่อจุดดี” ด้านคาแรคเตอร์ตัวละคร ที่ยังคงความเอกลักษณ์ชัดเจนในแต่ละตัวละคร
ตัวบท
เริ่มจากบทขุนพันธ์เหมือนตีบวกความเท่ห์ขึ้นไปอีกขั้น ดูสุขุม ดูมีมาด และเท่ห์โคตรๆ แทบทุกอริยาบทของขุนพันธ์ อนันดาได้ถ่ายทอดความเท่ห์ออกมาได้ตลอดทั้งเรื่องเลยจริงๆ
และอีกสองตัวละครที่สุดยอดไม่แพ้กันนั่นคือเสือฝ้าย ที่รับบทโดยผู้พันเบิร์ด แค่ยืนนิ่งๆ ก็เห็นถึงรัศมีความน่าเกรงขาม และนึกไม่ออกจริงๆ ถ้าไม่ใช่เขา ใครจะมารับบทได้เหมาะสมเท่านี้อีกแล้ว เห็นแล้วนึกถึงและให้อารมณ์คล้ายๆ กับ God Father เลยจริงๆ
ส่วนคนสุดท้ายคือ เสือใบ โดยในตอนแรกเราคิดว่ายังไง๊ยังไง เป้ ก็ไม่เหมาะสมกับบทนี้ ทำไมต้องเป้ด้วยว๊า คนอื่นก็มีอีกตั้งเยอะตั้งแต่ แต่พบดูจบปั๊บ...อยากตบปากตัวเองสัก 300 ทีแล้วถ่ายคลิปส่งให้ดู! “เป้เล่นโคตรดี” คือเล่นดีกว่าที่คิดไว้เยอะมาก ไม่น่าเชื่อว่าเป้จะทำได้ขนาดนี้ แย่งซีนอนันดาเลยก็ว่าได้
ฉากการเปิดตัวของทุกตัวละคร ทำออกมาได้เท่ห์ น่าสนใจ และบ่งบอกถึงคาแรคเตอร์ชัดเจน ทางด้านตัวละครรองก็ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใครเลย เริ่มจากนันทวุฒิ ที่รับบทอัศวิน ที่เล่นได้พอสูสีปะทะฝีมือกับทั้งสามได้ไม่เลวเลย รวมไปถึงก้อย รัชวิน ที่ดูมีสเน่ห์ น่าดึงดูด น่าค้นหามากกกกกกกก
แต่สิ่งที่เป็นปัญหาของหนังเรื่องนี้เลยอย่างแรก รู้สึกขัดใจกับมุมกล้องของภาคนี้พอสมควร ในหลายๆ ฉาก ที่เราคิดในใจว่า มุมกล้องมันน่าจะส่งอารมณ์ได้มากกว่านี้นา อีกทั้งฉากบางฉากที่ใส่มาอย่างไม่จำเป็น และเหมือนภาคนี้จะออกแบบฉากแอ็คชั่น ฉากต่อสู้ ได้ไม่ดีเท่าภาคแรก ถึงแม้ภาพรวมในภาคนี้มันจะดีกว่า แต่เราเอ็นจอยและสนุกกับฉากแอ็คชั่นในภาคแรกมากกว่า กับเรื่องการแบ่งบทตัวละครที่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้อย่าง แม็กกี้ อาภา ส่วนเรื่องที่น่าเสียดาย ก็คงจะเวลาที่ไม่เพียงพอต่อการเล่า พาให้เราไปรู้จักกับเหล่าเสือสักเท่าไหร่ (ถึงแม้หนังจะยาว 2 ชั่วโมงเลยทีเดียว)
สรุป
โดยรวมแล้วเป็นหนังที่ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ ประเด็นเรื่องความดีกับสังคมเทาๆ ปกครองด้วยคนมีอำนาจเท่านั้น ที่หนังต้องการจะใส่ลงไป ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเราเองและสังคม เรื่องคุณงามความดี ทำให้เรามองขุนพันธ์เหมือนเป็นตัวของฮีโร่ที่ลุกมาต่อต้านกับระบบ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าใครสักคนต้องทำอะไรบางอย่าง
ทั้งนี้ทั้งนั้นท่านต้องพิสูจน์ในโรงภาพยนตร์ด้วยตัวเอง ก็จะตอบได้ว่ามันดีไม่ดียังไง แต่ผมอยากให้สนับสนุนหนังไทย อยากให้มีผลงานแบบนี้ต่อๆ ไป อยากเห็นวงการหนังไทยเติบโตไปมากกว่านี้ และเติบโตไปเรื่อยๆ อยากเห็นหนังแนวอื่นๆ นอกเหนือจากรอม-คอม ดราม่า ที่มีอยู่เกลื่อนไปหมดในปัจจุบัน และแน่นอนมีเอ็นเครดิตด้วยนะจ๊ะ
Yorumlar