รีวิว Escape Room - กักห้อง เกมโหด
เป็นหนึ่งในหนังเบอร์รองที่มีหน้าหนังน่าสนใจทีเดียวในเดือนนี้ กับแนวเกมไขปริศนา (Puzzle) เอาชีวิตรอดและหาความจริงเบื้องหลังไปพร้อมกัน ดูพลอตแนวนี้ก็ชวนนึกถึงพวกเกมแนว point & click ไขปริศนาที่ฮิตกันอยู่ช่วงหนึ่งในคอมพิวเตอร์ แล้วปัจจุบันก็โดดมาลงในมือถือให้เล่นกันหลายต่อหลายเกม ยิ่งสมัยนี้มีถึงขนาดเป็นร้านเกมที่สามารถชวนเพื่อนเข้าไปแก้ปริศนาห้องปิดตายซึ่งต้องออกมาในเวลาที่กำหนดด้วย และหากมองไปในโลกของภาพยนตร์ก็มีหนังเจ๋ง ๆ ที่นึกออกไว ๆ ในแนวนี้อย่าง Cube (1997) Saw (2004) และ Exam (2009) ล้วนแล้วแต่เป็นหนังที่สร้างแฟนกลุ่มเฉพาะอย่างเหนียวแน่นทั้งสิ้นและแน่นอน Escape Room ก็นำอารมณ์ความรู้สึกท้าทายแบบนั้นมาสู่ผู้ชมผ่านตัวละครที่แตกต่างกันทั้ง 6 คนได้อย่างน่าสนใจ รีวิว Escape Room
เรื่องย่อ
คนแปลกหน้า 6 คน ได้รับกล่องลึกลับพร้อมกุญแจที่เชื้อเชิญพวกเขามาไขปริศนาห้องกลไกปิดตายหลากหลายห้อง เพื่อพิชิตเงินรางวัลมหาศาล หากแต่ว่าสิ่งที่ต้องนำมาเสี่ยงอาจหมายถึงชีวิตของพวกเขา ในตอนที่ไม่อาจหันหลังกลับ พวกเขาต้องร่วมมือเล่นเกมเพื่อเอาชีวิตรอดจากห้องนรกเหล่านี้ และค้นหาความจริงที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด
นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 สำหรับ อดัม โรบิเทล ผู้กำกับที่เป็นที่รู้จักกับหนังสยองขวัญภาพติดตาอย่าง The Taking of Deborah Logan (2014) และ Insidious: The Last Key (2018) โดยส่วนสำคัญกับหนังแนวนี้คงต้องดูไปถึงบท ที่ได้มือเขียนบทอย่าง บรากี้ เอฟ. สชูต กับ มาเรีย เมลนิค มาร่วมกันเขียน ซึ่งผลงานที่ชัดเจนสุดของ สชูต คือ Season of the Witch (2010) หนัง นิโคลัส เคจ ปะทะแม่มดยุคกลางที่เลือนลางในความทรงจำเราเหลือเกิน ส่วนเมลนิคนั้นมีเครดิตในการเขียนบทซีรีส์อย่าง American Gods ที่พอคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้าง
แต่ความเหนือคาดก็มาตรงที่ว่าหนังมีความละเอียดในเชิงบทสูงกว่าที่คิดไว้เยอะ ซึ่งบทนี้เองมักจะเป็นจุดอ่อนในหนังแนวนี้ที่ชอบมีรูโหว่ของพลอตให้เห็นมากน้อยต่างกันไป แต่กับ Escape Room ถือว่าทีมเขียนบททำการบ้านมาดีจนน่าชื่นชม ทั้งบทพูดคำคมที่น่าจดจำในช่วงต้นเรื่อง การปูพื้นตัวละครที่แตกต่างกันถึง 6 คน แล้วค่อย ๆ เรียงร้อยเผยปูมหลังผ่านการร่วมเล่นเกมได้อย่างน่าสนใจ เป็นลีลาการเล่าที่ดึงผู้ชมเข้าไปหา เข้าไปสงสัย อยากรู้ความเป็นมาของผู้เล่นแต่ละคน ที่ถูกผูกกับปริศนาในเกมอย่างลึกซึ้ง และไม้เด็ดของหนังก็คงเป็นทางลงหรือบทสรุปของเรื่อง ที่ว่ากันแล้วมักเป็นจุดตายของหนังไฮคอนเซ็ปต์หลาย ๆ เรื่องเสียด้วยซ้ำ แต่กับ Escape Room นั้นถือว่ามีทางลงที่สวยดีทีเดียว ทั้งผูกโยงกับคำใบ้ของตัวละครตอนต้นเรื่อง ทั้งการเชื่อมโยงที่เปิดกว้างและท้าทายไอเดียผู้ชมว่าหากมีภาคต่อจะสนุกขนาดไหน
ฉากเปิดเรื่อง หนังก็ทำให้เราระทึกตั้งแต่ต้นเรื่องเลย มันเลยส่งผลให้การดำเนินเรื่องหลังจากนั้นชวนตื่นเต้นและทำให้เราลุ้นว่าในแต่ละห้อง พวกเขาจะผ่านไปยังไง จะแก้ปริศนาได้ไหม จะรอดกันครบหรือเปล่า? ห้องแต่ละห้อง นั่นแหละคือจุดขายและความสนุกของหนัง แต่ในความสนุกนี้ เราก็รู้สึกติดนิดนึง เพราะดูหนังสดในจุดนี้กลับออกแบบปริศนาในแต่ละห้องได้ดูง่ายจนเกินไป แถมปริศนาแต่ละอย่างไม่เล่นกับคนดูเลย หนังไม่ปล่อยพื้นที่ให้คนดูได้คิดตามเกี่ยวกับการแก้ไขปริศนาในแต่ละห้องเลยแม้แต่นิดเดียว
โดยหนึ่งในอาวุธไม้ตายของหนังที่ต้องบอกว่าดีงามคือเกมปริศนาในแต่ละห้องนั่นเอง มันมีทั้งเวลาที่บีบบังคับ ความกดดันของผู้ร่วมเล่นเกม ตัวปริศนาที่ต้องอาศัยทั้งการสังเกต ความคิดนอกกรอบ พลังกาย และโชค ในแบบที่ว่าดูไปก็ลุ้นร่วมคิดไปกับตัวละคร อยากให้ผ่านให้รอดให้ได้ ซึ่งสนุกมากราวกับได้เล่นเกมนี้เอง ยิ่งระดับความอันตรายของเกมแต่ละห้องเพิ่มสูงขึ้น ความน่าค้นหาและเอาใจช่วยก็ยิ่งทวีคูณ มันให้อารมณ์เหมือน Saw ในแบบที่แฟนตาซีกว่าและสยดสยองน้อยกว่า ซึ่งคงเหมาะกับคนดูกลุ่มกว้างขึ้นด้วย เอาเข้าจริงแค่ฉากเปิดเรื่องเราก็เกร็งปัสสาวะเหนียวแล้วล่ะ ณ จังหวะนั้นรู้เลยว่าหลังจากนี้หนังต้องทำให้เรากระเพาะปัสสาวะอักเสบแหง ๆ แล้วก็ไม่เสียความตั้งใจนั้นเลย
ด้านนักแสดงก็ได้ดาราตัวสมทบจากหลากหลายวงการมาร่วมเล่น ดูเหมือนจะไม่ค่อยน่าชื่นชม แต่กลับเป็นว่าการที่ดาราแต่ละคนไม่ดังมาก ทำให้เราอินกับตัวละครแปลกหน้าเหล่านี้ได้ง่ายด้วย ที่น่าสนใจในกลุ่มนี้ก็มีเช่น เทย์เลอร์ รัสเซลล์ จากซีรีส์เน็ตฟลิกซ์ Lost in Space, เดบาร่าห์ แอน โวลล์ ที่คุ้นหน้าในซีรีส์ค่ายมาร์เวล Daredevil และซีรีส์ชั้นดีอย่าง True Blood, โลแกน มิลเลอร์ จากหนัง Scouts Guide to the Zombie Apocalypse (2015) และ ไทเลอร์ ลาไบน์ จากหนังอินดี้ดูสนุกอย่าง Tucker and Dale vs Evil (2010) ซึ่งแต่ละคนแบกรับนิสัยและปฏิกิริยาตอบรับกับเกมที่ต่างกัน อันเป็นเคมีที่ทำให้เราดูหนังด้วยความสนุกขึ้นอย่างพอดิบพอดีกับแนวหนังแอคชั่น ไม่จัดจ้านจนต้องชิงออสการ์ แต่ก็อินไปด้วยได้มากพอ
อย่างสุดท้ายที่ชอบเลยคือโปรดักชั่นดีไซน์ ทั้งตัวเกม และอาร์ตของห้องแต่ละห้องมีความละเมียดตั้งใจ ที่เห็นชัดเลยอย่างห้องที่ตีลังกากลับหัวนี่คือเจ๋งเลย ยังไม่นับอาร์ตในห้องหลัง ๆ ที่แปลกประหลาด งานภาพที่ไม่น่าเบื่อ กล้องเล่นกับเอกลักษณ์ของห้องแต่ละห้องได้สนุกมากด้วย ข้อด้อยที่ดูหนังผ่านเน็ตพอจับได้อย่างชัดเจนหนึ่งเดียวของหนังคือซีจีหลายฉากที่ดูลอย ๆ อยู่ แต่ก็ไม่ได้ขัดตาจนทำลายความดีงามอื่น ๆ ของหนัง แต่ก็เป็นเรื่องที่หยิบยกมาพูดได้หากจะมองหาจุดไม่ดีของหนัง ซึ่งว่าไปก็จิ๊บจ๊อยมากเหมือนกันเพราะมันไม่ใช่หนังโชว์ซีจีอยู่แล้ว
ความรู้สึก
หลังจากได้ดูหนังแล้วต้องบอกเลยว่าช่วงแรกของหนังนั้นเปิดเรื่องเดินเรื่องวางคอนเซ็ปเรื่องได้ดีน่าติดตามเป็นอย่างมาก ดีซะจนคิดว่ามันต้องจบแบบพีคๆ แน่ๆ แต่แล้วพอมาถึงช่วงกลางเรื่องไปจนจบเรื่องนั้น ไอเดียความแปลกใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นมาช่วงต้นเรื่องก็ได้หดหายไปเรื่องๆ จนกลายเป็นเพียงแค่หนังระทึกขวัญธรรมดาเรื่องนึงเพียงเท่านั้น ถ้าถามว่ามันลุ้นมากมั้ยก็บอกได้ว่าลุ้นมากจริงๆ เพียงแต่ช่วงท้าย การที่เขียนบทไปให้จบอะไรในสไตล์นั้นมันเหมือนเป็นดาบ 2 คม เพราะถ้าจะเล่นตอนจบแนวๆ นี้แล้วควรที่จะเล่นไปให้สุดโต่งไปเลย พอเรื่องนี้มีฉากจบที่พยายามเพลย์เซฟตัวเองต่างๆ นานา มันเลยออกจะน่าเสียดายไปซะหน่อย
สิ่งที่น่าชื่นชมที่สุดของเรื่องนี้คงเป็นงานโปรดักชั่น เพราะแต่ละห้องออกแบบมาได้มีกิมมิคเฉพาะตัว และสวยงามไม่ใช่เล่น บวกกับการถ่ายทำ มุมกล้องต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น มันกระตุ้นให้หนังสนุกและน่าดูมากขึ้นอีกหลายเท่าตัวเลย
แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากๆ คือบทสรุปจบของหนัง มันหาทางจบง่ายเหลือเกิน ที่ใครติตดามแนวนี้มาบ่อยๆ คงจะเดากันได้ไม่ยากเลย เพราะหนังแนวๆ นี้มันแทบจะจบแบบนี้ซะทุกเรื่องเลย อีกทั้งประเด็นรองของแต่ละตัวละครในหนังที่ส่งผลกับหนังเพียงนิดเดียว และเกือบหลุดประเด็นไปซะนี่
สรุป
ถ้าคุณต้องการชมหนังลุ้นระทึก บีบหัวใจ นั่งลุ้นตัวเกร็งแล้วล่ะก็ Escape Room ตอบโจทย์ในส่วนนี้เป็นอย่างมาก แต่ถ้าใครต้องการอะไรมากกว่าความระทึก หรืออะไรที่แปลกใหม่ในหนังสไตล์นี้ ต้องบอกว่าคุณคงจะผิดหวังเบาๆ แต่ส่วนตัวผมเองแล้วถ้าหนังมันตอบโจทย์ความระทึกได้ก็ถือว่าตัวเองดูหนังเรืองนี้สนุกได้แล้วครับ
Commenti