top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนattempt pai

Daybreak


ดูหนังฟรี

รีวิว Daybreak - โลกถล่ม รัก (ไม่) ทลาย

ชีวิตจะเป็นยังไงนะหลังวันสิ้นโลก คงไม่เหมือนที่เราคาดไว้หรอก เรื่องราวของจอชและผองเพื่อนหลังวันสิ้นโลก ที่โลกนี้เหลือแต่วัยรุ่น พวกเขาจะใช้ชีวิตกันแบบไหน ในเมื่อไม่มีผู้ใหญ่มาเจ้ากี้เจ้าการให้ทำอะไรอีกต่อไป รีวิว Daybreak


เรื่องย่อ


หลังเหตุการณ์นิวเคลียร์ถล่ม จอช วีลเลอร์ (โคลิน ฟอร์ด) มุ่งมั่นที่จะออกตามหา แซม (โซฟี ซิมเนต) สาวคนรักที่ยังไม่ทันได้ไถ่โทษความผิดที่ตัวเองก่อขึ้น และระหว่างทางเขาก็ได้พบกับ เวสลีย์ (ออสติน ครูต) ซามูไรนักกีฬาฟุตบอลผิวสีที่มีความลับบางอย่างปกปิดไว้ แองเจลิกา (เอลิเวีย เอลิน ลินด์) สาวน้อยเจ้าปัญหาผู้ชอบระเบิดสิ่งของเป็นชีวิตจิตใจ อีไล (เกรกอรี คาซิอัน) หนุ่มเนิร์ดที่หวังยึดครองห้างไว้เสวยสุขคนเดียว และ มิสครัมเบิล (คริสตา รอดริเกวซ) ครูสาวผู้กลายเป็นปอบ แต่อุปสรรคของจอช ไม่ได้มีเพียงเหล่าผู้ใหญ่ที่กลายเป็นปอบหิวเนื้อคนเท่านั้น แต่ยังมีทั้ง เทอร์โบ (โคดี เคียสลีย์) หัวหน้าเผ่ากีฬาที่หวังกำจัดเขา รวมถึงเจ้าแห่งปอบในตำนานอย่าง แบรอน ไทรอัมพ์ ที่หลายคนเกรงกลัว


 

เดิมที  Daybreak เป็นกราฟิกโนเวลของ ไบรอัน ราล์ฟ ที่ได้ตามมาเขียนบทให้ฉบับซีรีส์ด้วย โดยเรื่องราวก็ดูจะได้แรงบันดาลใจจากหนังซอมบี้ อย่าง Dawn of the dead ของ จอร์จ เอ โรเมโร ผสมกับ งานดีไซน์ที่แทบจะถอดแบบ Mad Max : The Road Warrior มาเขย่ารวมกับเรื่องราวการตามหาคนรักในวันสิ้นโลกที่ทั้งโรแมนติกและกาวสุดขั้วไปในคราวเดียวกัน


โดยซีรีส์ได้ แบรด เพย์ตัน ที่เคยกำกับหนัง “เดอะร็อค” ทั้ง San Andreas, Journey 2 และล่าสุดคือ Rampage มากุมบังเหียนทั้งร่วมเขียนบทกำกับ 2 ตอน และ นั่งแท่นอำนวยการสร้างบริหารร่วมกับ โทนี อีไล โคเลต ซึ่งดูหนังฟรีก็พอการันตีได้ระดับหนึ่งว่าหนังจะออกบันเทิงแน่นอน โดยสิ่งที่ถือเป็นจุดเด่นในการเล่าเรื่องของซีรีส์ได้แก่ การทำลายกำแพงที่ 4 ของตัวละคร หันหน้ามาพูดกับคนดูโดยตรง


ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ Ferris Bueller’s Day Off  ฉบับโลกแตกที่ เพย์ตันวางไว้ เพราะไอเดียการพูดกับคนดูของตัวละคร แมตธิว โบรเดอริก ในหนังดังของจอห์น ฮิวจ์ เรื่องนั้นได้ถูกนำมาให้ จอช วีลเลอร์ ใช้สื่อสารกับคนดู รวมไปถึงตัวละครอื่น ๆ ในตอนต่อมาด้วย ซึ่งก็ถือว่าเข้ากับหนังที่มีวัยรุ่นเป็นตัวดำเนินเรื่องหลักแบบ Daybreak อยู่ไม่น้อยเลย รวมถึงการเล่นกราฟิกตัวหนังสือบนจอ เพื่อเล่นมุก ชวนสังเกต หรือกระทั่งการนำเสนอฉากเดิมซ้ำอีกรอบแต่เปลี่ยนรายละเอียดก็นับว่าเป็นวิธีอันชาญฉลาดไม่น้อยเลยทีเดียว


ต้องเตือนกันก่อนเลยว่าซีรีส์เรื่องนี้เป็นแนวหนังคัลท์ ดังนั้นต้องทิ้งตรกะเหตุผลทุกอย่างกองไว้นอกสมองก่อนตัดสินใจดู และถึงจะตัดสินใจดูก็ใช่ว่าจะเข้าใจหรือรู้เรื่องทันมุกนอกเรื่องต่างๆ ที่หนังหยิบจับเอามาผสมยัดปั่นรวมกันเป็นโกโก้ครั้นช์มาให้คนดูได้เสพแบบมึนๆ งงๆ เอ๋อๆ ไปกับเรื่องราวที่มันบ้าบอมากๆ แบบใครทนดูความบ้าพวกนี้ไม่ไหวอาจจะได้อาการไมเกรนแถมให้ฟรีระหว่างดูอีกด้วย


ในเมื่อหนังดูเข้าใจยากแบบนี้ แล้วหนังเรื่องนี้เหมาะกับใคร? ถ้าดูจากหน้าหนังคงคิดว่าก็แน่ล่ะสิหนังเขาไว้ให้วัยรุ่น Gen ใหม่ดู แต่เอาจริงๆ ไม่น่าจะใช่ทั้งหมด เพราะหนังเลือกหยิบอะไรที่แบบโหย…คลาสสิคเก่าแก่ของยุค 80s-90s มาเล่นแบบจริงจังผสมลงไปในเรื่องหลายอย่าง อย่าง การ์ดเกม MTG (Magic the Gathering), Mad Max, Pokemon มิวทู, ไอ้หนุ่มซินตึ๊ง, ซามูไรพ่อลูกอ่อน อะไรพวกนี้


ซึ่งคน Gen ใหม่วัยใสก็คงมึนแน่นอนว่ามันคืออะไร ยังไง จะขำดีไหม? แถมหนังไม่ได้คิดจะอธิบายว่าพวกนี้คืออะไร ยังไง แบบไหน ให้กับคนดูเสียด้วยซ้ำ เหมือนเป็นงานหนังออนไลน์ที่ผู้กำกับรับเงิน Netflix มาผลาญๆๆ เอาความมันส์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง ไม่ต้องมาเกรงใจคนดูตามไม่ทัน ปั่นรื่องราวหนัง เกม ของเล่น ทั้งเก่าและใหม่มายัดรวมกันให้เป็นเรื่องราวแหวกแนว กะให้เท่ แต่มันก็ไม่ได้ออกมาเท่แบบที่คิดเสมอไป….


จุดเด่น


อีกจุดที่นับว่าเป็นสีสันสำคัญได้แก่การคิดระบบสังคมในโลกหลังล่มสลายที่แบ่งเป็นเผ่า ได้แก่ เผ่านักกีฬาที่นำโดย เทอร์โบ ก็ดูเป็นพวกบูลลีคนอ่อนแอเหมือนในหนังวัยรุ่นแต่ถูกปรับให้โหดกว่าเดิมก็ดูเป็นตัวร้ายที่น่าสะพรึงกลัว แต่ก็ยังมีมุกตลกโหด ๆ มาสร้างความบันเทิงได้ตลอด


หรือจะเป็นเผ่า เชียร์มาซอน ที่เน้นรักสวยรักงาม เล่นโยคะ กินคลีน ก็ดูจิกกัดกิจกรรมพวกเฮลตี และด้วยลุคแบบสวยเริ่ดเชิดหยิ่งก็หนีไม่พ้นคาแรกเตอร์แบบสาวไฮสคูลตัวร้ายที่เคยเห็นมามาปรับเป็นสีสันของเรื่องได้ดีเลย ส่วนเผ่าอื่น ๆ ในซีซันนี้อาจถูกกล่าวถึงแบบผิวเผินไปนิด ซึ่งก็ต้องรอดูต่อไปในซีซันหน้าว่าจะมีเผ่าไหนมีบทบาทขึ่นมาไหม


รวมไปถึงการให้ ผู้ใหญ่ ในเรื่องชอบกินเนื้อเด็กกลายเป็นปอบกันหมด ก็ดูจิกกัดวงการการศึกษาได้เจ็บแสบไม่น้อยเลย โดยเฉพาะตัวละคร ครูใหญ่เบอร์ ของ แมตธิว โบรเดอริก ที่ผู้สร้างจงใจเลือกมาเล่นเพื่ออ้างอิงหนัง Ferris Bueller’s Day Off ก็เป็นผู้ใหญ่ที่ดูเหมือนน่านับถือทว่ากลับยึดผลประโยชน์ตัวเอง เป็นการนำเสนอมุมมองทางสังคมที่แหลมคมได้อย่างกลมกล่อมเลยทีเดียว

รีวิว Daybreak

จุดเสีย


แม้หนังจะมีเรื่องราวความรัก มิตรภาพ ในโลกวุ่นๆ บ้าบอคอแตกแบบโอเครับได้ สนุกอยู่ แต่ข้อเสียของหนังอย่างจังๆ คือความคัลท์แบบไม่สนใจคนดู ซึ่งหนังเลือกทางสุดโต่งไปหน่อย แม้จะเป็นอะไรที่พอตามทันเข้าใจได้ แต่ก็ยังคิดว่าหนังเลือกเล่นหลายอย่างสุดโต่งมากไปเหมือนกัน


รวมถึงฉากจบที่เรียกว่าเป็นสูตรหนังซีรีส์ฝรั่งบังคับจบแบบตั้งใจหักมุมคนดู ในกรณีหนังเรื่องอื่นๆ มักจบแบบอยากให้ดูต่อ แต่กับเรื่องนี้รู้สึกว่าหนังตั้งใจหักเรื่องราวโดยการกระโดดข้ามการอธิบายเรื่องราวที่แท้จริงมากเกินไป แทบทำให้เรื่องราวที่ผ่านมาทั้งหมดไม่มีค่าเลยก็ว่าได้


เหล่านักแสดง


บรรดานักแสดงหนุ่มสาวในเรื่องต้องยอมรับว่า เต็มไปด้วยคนหน้าตาดีเต็มไปหมด แม้ว่า โคลิน ฟอร์ด ในบท จอช วีลเลอร์ ไม่อาจทำให้ตัวละครมีเสน่ห์ได้อย่างบทต้องการแต่ด้วยใบหน้าอันหล่อเหลาก็พอทำให้สาว ๆ ละลายได้เหมือนกันแหละน่า ส่วนสาว ๆ ในเรื่องก็น่าจะทำให้หนุ่มหลงรักได้ไม่ยาก

ตั้งแต่รุ่นเล็กที่น่าจะโดนใจคนรักเด็กอย่าง เอลิเวีย เอลิน ลินด์ ในบทแองเจลิกา ก็น่ารักแบบแก่น ๆ มีแววโตแล้วเป็นสาวสวย หรือ  โซฟี ซิมเนต ในบท แซม นางเอกของเรื่องก็หน้าตาเก๋ไก๋ เป็นสาวผมบลอนด์ที่ดูมีเสน่ห์ไม่น้อย และที่พลาดไม่ได้เลยคือ เชลซี จาง ในบท เคเจ สาวจีนที่พาหน้าหมวย ๆ มาทำให้ใจละลายได้ตั้งแต่แรกเจอ


ไม่เพียงเหล่านักแสดงวัยรุ่นหน้าตาดีเท่านั้น Daybreak ยังมีนักแสดงที่น่าจับตามองอย่าง คริสตา รอดริเกวซ ในบทครูครัมเบิล ที่แม้จะถูกเมกอัปให้ดูเป็นปอบ ทว่าเธอกลับฉายเสน่ห์จนขโมยซีนได้หลายฉาก และแน่นอน แมตธิว โบรเดอริก อดีตดาราขวัญใจวัยรุ่นยุค 80 ก็ไม่ทำให้ผิดหวังกับบทครูใหญ่ เบอร์ ที่ทั้งน่าสะพรึงกลัว แต่แอบรั่วจนเราอดหัวเราะไม่ได้อยู่ดี


โดยรวม


เรียกได้ว่า Daybreak คือซีรีส์วัยรุ่นอีกเรื่องของ Netflix ที่ทำออกมาได้บันเทิงไม่น้อย แม้จะยังมีปัญหาเรื่องบทและการแสดงส่วนใหญ่ที่ยังไม่อาจทำให้เราอินตามตัวละครได้มากนัก แต่ถ้าเทียบกับความสร้างสรรค์ในการหาเทคนิคเล่าเรื่องอันแปลกใหม่ก็พอทำให้ซีรีส์ทั้ง 10 ตอนสามารถสร้างความสนุกในวันหยุดได้ดีเลยครับ


สรุป


หนังแม้จะเริ่มต้นช่วงแรกด้วยพล็อตกับโลกเฉิ่มๆ แต่พอหลุด 3 ตอนแรกไปหนังกลายเป็นคนละม้วน ดูดีขึ้นมาทันตา พร้อมกับเรื่องราวมิตรภาพ ความรัก การเติบโตทางจิตใจแบบ Coming of Age ที่ทำออกมาได้ดีแบบไม่น่าเชื่อกับลุคพิลึกพิลั่นของหนังเรื่องนี้เหมือนกัน


แต่ว่าปัญหาของหนังคือการยัดเรื่องราวความคัลท์มาเยอะมาก จนทำให้อารมณ์หนังลากขึ้นๆ ลงๆ ป่วนไปหมด กลายเป็นจะอินหรือซึ้งก็ไม่สุดไป แถมบางช่วงปวดหัวกับเรื่องราวสุดคัลท์นี้ด้วยครับ

ดู 12 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page