คริสโตเฟอร์ โรบิน
รีวิว Christopher Robin - คริสโตเฟอร์ โรบิน
ถึงคราวดิสนีย์หยิบเอาเรื่องราวของหมีพูห์และผองเพื่อน นำมาเล่าในเวอร์ชั่นคนแสดงซักที ถือเป็นอีกก้าวดำเนินตามรอย Alice In Wonderland / Maleficent / Cinderella / Junglebook / Beauty and the beast รีวิว Christopher Robin
เรื่องย่อ
ถึงเวลาพบกับเพื่อนรักในวัยเด็ก อีกครั้ง กับภาพยนตร์แฟนตาซีจากสตูดิโอผู้สร้าง Beauty And The Beast เมื่อคริสโตเฟอร์ โรบิน ที่โตเป็นผู้ใหญ่ได้พบวินนี่ เดอะ พูห์ อีกครั้งใน Christopher Robin - คริสโตเฟอร์ โรบิน 9 สิงหาคมนี้ ในโรงภาพยนตร์
ช่วงหลังทาง Disney เองก็ดัดแปลงการ์ตูนมาทำเป็นหนัง Live Action ออกมาเรื่อย ๆ และทำออกมาได้ดีด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ Winnie the Pooh ที่ใช้ชื่อหนังอย่างเป็นทางการว่า Christopher Robin โดยได้ มาร์ค ฟอร์สเตอร์ ผู้กำกับที่เคยผ่านงานอย่าง World War Z, Monsters Ball และ Quantum of Solace มานั่งแท่นกำกับหมีพูห์เวอร์ชันคนแสดง
ซึ่งใน Live Action นี้จะเน้นไปที่ชีวิตของ คริสโตเฟอร์ โรบินส์ (ยวน แม็คเกรเกอร์) ที่เติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ในปลายยุค 1940 ทำงานหนัก มีครอบครัว และกำลังเผชิญปัญหาในช่วง Midlife Crisis จนหลงลืมตัวตน ละเลยคนรอบข้าง และมืดบอดในการควานหาความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งเจ้าหมีพูห์แห่งป่า 100 เอเคอร์ปรากฏตัวขึ้นกลางกรุงลอนดอน ทำให้โรบินส์ต้องหาทางพาเพื่อนเก่ากลับบ้านเดิมที่ซัสเซ็ก และจากนั้นเรื่องราวจากความทรงจำในวัยเด็กของโรบินส์ก็หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่า Christopher Robin ในเวอร์ชัน Live Action นั้นทำออกมาได้ลงตัวดีเยี่ยมมาก ๆ เริ่มจากจุดแข็งในเรื่องของการผสมผสานตัวการ์ตูนกับตุ๊กตาของจริงในการเดินเรื่อง ซึ่งทำได้ดูสมจริง อันที่จริงต้องบอกว่าแนวทางของ Christopher Robin นั้นเดินตามสูตรเดียวกับ TED เจ้าหมีจังไรมาก ๆ
เพียงแต่ต่างกันตรงที่ว่าเรื่องนี้เน้นจับไปที่ประเด็นความเป็นครอบครัวอบอุ่นเป็นหลัก ขณะเดียวกันอีกจุดแข็งที่ทำให้ตัวละครในแก๊งการ์ตูนดูมีชีวิตชีวาจับต้องได้ก็ต้องยกให้ทีมพากย์รุ่นเก๋า โดยเฉพาะ จิม คัมมิงส์ ที่ให้เสียงทั้งเป็นหมีพูห์และทิกเกอร์นั้นมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เหมือนเคย มีส่วนในการยกระดับหนังเวอร์ชันนี้ไปอีกขั้นจริง ๆ
Christopher Robin มันคือ coming of age ของคริสโตเฟอร์ โรบินส์ ในวัยผู้ใหญ่ ที่ด้วยแบ็คกราวน์ในชีวิตทำงาน ได้เปลี่ยนแปลงความคิดและการกระทำของเขาไม่ต่างจากผู้ใหญ่ในยุคอุตสาหกรรมคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์เงินเดือน ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จนไม่มีเวลาให้ครอบครัวคือภรรยา เอเวอร์ลิน (เฮลีย์ แอทเวลล์) และลูกสาว แมเดลิน (บรอนท์ คาร์ไมเคิล) ของเธอมากพอ
โลกของโรบินส์ที่มีแต่หน้าที่และความรับผิดชอบแบกอยู่บนบ่าสองข้างของเขามาตลอด จุดเปลี่ยนอีกครั้งที่จะทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปได้ก็คือต้องมีเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ระดับค้อนปอนด์ลงมาทุบหัว หรือฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ ซึ่งนั่นก็คือ เจ้าหมีพูห์ และผองเพื่อนในวัยเด็กของเขานั่นเอง
สิ่งที่ผมชอบและรู้สึกดีกับหนังมาก ๆ เลยคือวิธีการเล่าเรื่อง ทุกวันนี้หนังหลายเรื่องที่อิงจากนิยายแฟนตาซีแล้วใช้พลอตที่ซับซ้อน เพื่อทำให้คนเห็นภาพมาก ๆ แต่มันไม่อิมแพ็คเท่ากับวิธีของ Disney ที่เดินเรื่องแบบเรียบง่าย เล่าละเอียด ลึกซึ้งและสนุกไปกับตัวหนังด้วย หนังไม่ได้ขยี้ให้บ่อน้ำตาแตกกับการรำลึกคืนวันเก่าๆ
เมื่อจะเดินไปถึงจุดนั้น มันก็จะถูกสอดแทรกด้วยความทะเล้นของตัวละคร มุกตลกและความน่ารักในเรื่องให้ความรู้สึกมันลุ่มลึกพอดี ที่สำคัญคือ เมสเซจ ของหนังที่สอดแทรกมา สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพมาก ๆ มันบอกเราเบา ๆ ว่า ไอ้ที่ผู้ใหญ่เขาทำกันอยู่น่ะ บางอย่างก็เป็นเรื่องไร้สาระและเสียเวลาทั้งนั้น
การกระทำที่แลกกับเวลาอันมีค่าของชีวิตที่เราควรจะให้ความสำคัญกับคนที่เรารัก และสิ่งที่ทำให้มีความสุขโดยที่ไม่ต้องพยายาม เรากลับทำง่วนทำอะไรอยู่ก็ไม่รู้ที่สุดท้ายแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรกับชีวิตเลย หรืออีกนัยหนึ่งหนังเรื่องนี้แอบจิกกัดชีวิตในยุคอุตสาหกรรมอย่างแนบเนียน
วิจาร์ณ
เป็นหนังแสดงคนจริงของวินนีย์ เดอะ พูห์ โดยดิสนีย์จากกระบวนการเปลี่ยนอนิเมชั่นรุ่นโบราณมาให้เข้ากับปัจจุบัน ที่ทะยอยออกมาให้รับชมในรูปแบบที่แตกต่างจากเดิม ให้ประสบการณ์ใหม่ และเติมเต็มอดีตกาลของผู้คนในยุคเหล่านั้น เรื่องนี้เองก็ทำงานในเรื่องราวของ “ความทรงจำ” ได้ดีมากๆ แม้พล๊อตจะดูเบาสบาย ไม่หวือหวา แต่ก็เป็นพล๊อตที่ทรงพลังในรูปแบบการ์ตูนเด็กของมันเอง
หนังพาเราไปปูเรื่องราวของวินนีย์ เดอะ พูห์ กับคริสโตเฟอร์ โรบิน ใน ป่า 100 เอเคอร์ ที่ดูคลับคล้ายจะเป็นเพียงแค่ “เพื่อนในจิตนาการ” ที่มีหน้าที่ในการเติมเต็มวัยเด็กของคริสโตเฟอร์ ไปจวบจนการเติบโตผ่านเข้ามาในชีวิตของโรบิน นำพาให้เขาออกจากเพื่อนวัยเด็ก กลายเป็นผู้นำครอบครัว ผ่านสงคราม ต้องมีความรับผิดชอบให้ต้องดูแล มีคนรอเขา และมีคนต้องการเวลาของเขา จนทำให้คำติดปากของ พูห์ และโรบินมลายหายไปกับความจริงที่เจ็บปวด
“การไม่ทำอะไร มักจะนำไปสู่ที่สุดของบางสิ่งเสมอ”
คริสโตเฟอร์ โรบินหลงลืมคำกล่าวนั้น กลายเป็นเครื่องจักรตัวหนึ่งที่แล่นไหลไปตามกระบวนการทุนนิยม เป็นเพียงเฟืองที่ถูกสร้างมาให้ทำงานของตัวเอง และมีเพียงจุดประสงค์เดียวคือสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ผ่านความคิดเรียบง่ายที่เราชอบใช้กันคือ “ความฝัน ต้องลงมือทำจึงจะได้มา"
ในความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนแล้วแต่เกี่ยวโยงกับข้อความนี้ ผ่านโครงสร้างของบทที่เรียบง่ายแบบสุดๆ แม้เราจะไม่ชอบการออกแบบตัวละครตัวร้าย แต่เรื่องราวของตัวคริสโตเฟอร์ที่มีต่อครอบครัวของเขา มีต่อตัวเขาเอง และมีต่อความรับผิดชอบ ก็มากเพียงพอที่จะทำให้เราสนุกสนานกับความขัดแย้งทั้งหลายที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปเรื่อย
ส่วนวินนีย์เดอะพูห์ เป็นตัวละครที่ทรงเสน่ห์มากๆ ความเป็น “เจ้าหมีแก่โง่ๆเอ๊ย” ทำให้มันน่ารักน่าชัง น่าหยิกน่ากอด รวมไปถึงการร้อยเรียงคำพูดของเดอะพูห์ ที่คมกริบแบบสุดๆ หนังซ่อนใต้บรรทัดเกี่ยวกับความฝันผ่านการผจญภัยสั้นๆของโรบินและลูกสาวได้น่าสนใจมากๆ การโต้ตอบของทั้งสองมันจุกอก รุนแรง เหมือนเสียบแทงกลายๆ แต่ก็อบอุ่น งดงาม
โดยเฉพาะฉากการ “รอ” และการ “พบเจอ” ของดูหนังความทรงจำวัยเด็ก กับวัยผู้ใหญ่ผ่านพูห์ และโรบิน ทำออกมาได้สั่นสะเทือนอารมณ์มากๆ มันเหมือนกับว่าความไร้เดียงสาก็ยังรอให้เราไปทำความรู้จัก รอให้เรากลับไปใส่ใจเขาอยู่เสมอ และหนังก็ใช้ "ลูกโป่งสีแดง" กับฉาก "ปล่อยกิ้งไม้กระแทกน้ำ" ได้อย่างโดดเด่นตามต้นฉบับอีกด้วย
“วันนี้อะไรหรือพูห์” “มันคือ วันนี้” “มันคือวันที่ฉันชอบที่สุด..."
ทั้งหมดทั้งมวลก็เพื่อให้ผู้คนกลับไปอยู่กับ “ปัจจุบัน” สิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของเราไม่ใช่อดีตวัยเด็ก หรืออนาคตที่ไม่มั่นคงที่เราพยายามหลีกหนี หมีพูห์ เมเดลีน และภรรยาของคริสโตโรบินคือสิ่งที่อยู่ตรงหน้าโปรแกรมหนัง เราต้องกลับไปฟังคนที่เรารัก กลับไปทำความเข้าใจจริงๆว่าเขาต้องการอะไร เพราะสิ่งที่เราอยู่ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต แต่คือ ปัจจุบัน...
ตอน End Credit ขึ้นจะมีผู้ร่วมสร้างสรรค์วินนีย์ เดอะ พูห์ ต้นฉบับมาเล่นเปียนโนร้องเพลงกลางชายหาดด้วยอายุ 90 ปี ถือเป็นการจบความทรงจำอันงดงามที่ได้รับการส่งต่อได้อย่างสมบูรณ์มากๆ มันอาจไม่ได้ก้าวล้ำ หรือสะเทือนใจรุนแรง ไม่ได้สมจริง ไม่ได้ตลกมากมาย แต่ก็ทำงานในฐานะของขวัญแห่ง “ความทรงจำ” และตอนจบที่แฮปปี้เอนดิ้งจริงๆ
เหมือนที่พูห์ กล่าวไว้ในช่วงท้ายๆว่า “มุ่งไปทางเหนือ คริสโตเฟอร์ โรบิน” ขอให้มุ่งไปทางเหนือทุกคนนะครับ...
สรุป
สุดท้ายแล้วถ้าใครเคยมีประสบการณ์หรือความทรงจำดีๆเกี่ยวกับหมีพูห์และผองเพื่อน ถ้าได้มาชมเรื่องนี้ก็คงจะฟิน หรือได้ย้อนวัยกลับไปสมัยเด็กได้ไม่ยาก อีกทั้งจะยังหลงรักตัวละครต่างๆมากขึ้นไปอีก แต่ถ้าคุณไม่เคยอินหรือเคยดูการ์ตูน Winnie The pooh มาก่อนก็คงจะเฉยๆ หรือไม่อินกับเรื่องนี้เท่าไหร่
Comentarios