รีวิว Bumblebee - บัมเบิ้ลบี
จะเรียกว่านี่คือหนัง Transformers ที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้! เพราะมันทำให้ลืมภาพระเบิดภูเขาเผากระท่อมเวอร์ชั่นของ Michael Bay ไปเลย ในเรื่องนี้มีหลายอย่างที่เวอร์ชั่นก่อนๆ ไม่มี (สิ่งที่ดี) Bumblebee มีความเป็นหนังแอ็คชั่น ดราม่า ที่ใส่เรื่องราวความสัมพันธ์ของหุ่นเหล็กกับมนุษย์เอาไว้ รีวิว Bumblebee
และมีความเป็นหนังแนว Coming of age อยู่เต็มตัวด้วย ด้วยความที่มันเป็นแบบนั้น หนังเลยไม่ได้จัดฉากแอ็คชั่น บ้าระห่ำ ระเบิดเมือง ตู้มต้ามเหมือน Michael Bay แต่หันมาใส่ใจเรื่องราวความสัมพันธ์ของสองตัวละครมากกว่า
เรื่องย่อ
ย้อนกลับไปในปี 1987 บัมเบิ้ลบีค้นพบที่หลบภัยอยู่ในพื้นที่เก็บของเก่าในเมืองริมชายหาดเล็ก ๆ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยที่ ชาร์ลี (เฮลีย์ สไตน์เฟลด์) สาวที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปี ค้นพบบัมเบี้ลบี ในสภาพรถโฟล์กสวาเกนสีเหลืองที่ผุพัง ผ่านศึกมาหนัก และในไม่ช้า เธอก็รู้ว่าบัมเบิ้ลบีไม่ใช่แค่รถเต่าธรรมดาเลย
ในที่สุด ไมเคิล เบย์ ผู้กำกับบ้าพลังระเบิดก็สละมือจาก Transformers หนังใหญ่ยักษ์ของฮอลลีวู้ดเสียที แม้จะเป็นเพียงภาคสปินออฟก็ตาม โดยเอาตัวละคร บัมเบิ้ลบี จอมขโมยซีนที่คนดูรักและเอ็นดูเป็นพิเศษมาบอกเล่าเรื่องราวการเดินทางมาโลกครั้งแรกเมื่อปี 1987 และเปลี่ยนโทนหนังต่างจากเดิมไปพอตัว โดยเน้นเรื่องการปรับตัวแบบก้าวผ่านวัย พร้อมกับสร้างสายสัมพันธ์กับเพื่อนต่างสปีชีส์ ที่สื่อสารกันด้วยภาษากายได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ จะว่าไปนี่มันหนังดิสนีย์สไตล์ Monster Trucks (2016) ชัด ๆ เลยนี่หว่า
หนังเริ่มต้นด้วยไอเดียของ สปีลเบิร์ก ซึ่งเป็นโปรดิวเซอร์ใหญ่ของ Transformers มาตลอดในการที่จะหันมาเล่าเรื่องแยกย่อยที่ไม่ต้องไปต่อความกับภาคหลักซึ่งออกทะเลดาวไปไกลเกินเจอยูเทิร์นแล้ว และได้ผู้กำกับคนใหม่มาลองหาแง่มุมใหม่ ๆ ให้หนังอย่าง ทราวิส ไนท์ ผู้กำกับจาก Kubo and the Two Strings (2016)
หนังแอนิเมชั่นสต็อปโมชั่นจากค่าย Laika ที่เป็นขวัญใจใครหลาย ๆ คน ซึ่งไนท์ก็เหมาะกับการเติมแต่งเรื่องราวสไตล์เด็กดูแบบนี้เลยล่ะ เพราะหนังสามารถสมดุลระหว่างเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างหุ่นยักษ์ที่ไล่ล่ากันข้ามจักรวาลมาถึงโลก กับเรื่องมิตรภาพระหว่างเด็กสาวที่มีปัญหาทางบ้านอย่าง ชาร์ลี กับ บัมเบิ้ลบี ที่สูญเสียกล่องเสียงและความทรงจำไปจากการต่อสู้ได้อย่างลงตัว
หนังเน้นการเล่าเรื่องที่ง่าย และคอยสอดแทรกที่มาที่ไปที่ไปสอดเสริมกับหนังภาคหลัก อย่างว่าทำไมบัมเบิ้ลบีถึงต้องมาโลก ทำไมไม่สามารถพูดได้ ทำไมถึงชื่อบัมเบิ้ลบี เป็นต้น ทั้งยังเอาใจแฟนพันธุ์แท้จากฉบับแอนิเมชั่นด้วยการได้เห็นร่างของเหล่าหุ่นยักษ์ในฉบับดั้งเดิมอีกหลาย ๆ ตัวด้วย
แต่ด้วยท่าทีที่ง่ายและต้องการให้เสพสบายลื่นคอ หนังจึงใช้สูตรการเล่าแบบมาตรฐานมาก ๆ เดาง่ายมาก ๆ ยอมละลายความสมจริงบางอย่างไปบ้างก็ทำ และมีมุกคอยเสริมเรื่องตลอดเวลา ขำบ้าง น่ารักบ้าง และบางอย่างก็ต้องบอกว่าเด็กน้อยเหลือเกิน ที่ดูไม่เข้าใจ พยายามยัดใส่แบบไม่มีเหตุผลก็มีให้เห็นบ้างพอสมควร แต่มุกที่หนังทำได้ดีเลยจนต้องชมคงเป็นการใช้บรรดาเพลงเก่ายุค 80 มาแทนควมคิดของบัมเบิ้ลบีซึ่งฉลาดและมีเสน่ห์มาก
การแสดงของดาราสาวอย่าง เฮลีย์ สไตน์เฟลด์ ที่เคยเข้าชิงนักแสดงสมทบหญิงออสการ์จากหนัง True Grit (2010) ตั้งแต่ยังเด็ก และมาฉายแสงในหนัง Pitch Perfect 2 และ 3 ในบทที่สาวขึ้นก็สามารถส่องประกาย ยึดสายตาจากผู้ชมได้อย่างดีเยี่ยม เรียกว่าเธอคือสิ่งที่น่ามองที่สุดบนจอได้เลยล่ะ ไม่ว่าจะบทดราม่าหรือบทตลกก็ทำได้ดีทีเดียว
ในขณะที่อีกหนึ่งดาราที่ใครหลายคนเป็นแฟนคลับอย่าง จอห์น ซีน่า นักมวยปล้ำที่เริ่มหันมาเอาดีทางหนังมากขึ้น ก็รับบททหารฝั่งโลกที่มีบทเว่อ ๆ ตลก ๆ อยู่เสมอ แต่ก็พูดกันตามตรง หลายครั้งมันเหมาะกับคนที่เป็นแฟนซีน่ามามากกว่า ใครเพิ่งรู้จักแกคงไม่เก็ตบุคลิกของแกว่าทำไมเล่นล้น ๆ ตลกแปลก ๆ จัง
และในฟากฝั่งของเหล่าหุ่นทั้งหลายต้องยอมรับว่ามีความเนียนและพอดีของซีจีในแบบที่ดูสบายตาสมจริง การแสดงสีหน้าท่าทาของตัวละครซีจีสื่อสารได้ดีเยี่ยม โดยเฉพาะบัมเบิ้ลบีนั้นน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวละครที่มีคนรักมากที่สุดได้ไม่ยากเย็น ในขณะที่ฝั่งตัวร้ายก็มีความโหดเหี้ยมและใช้เล่ห์เหลี่ยมได้ดี น่าเสียดายที่หนังไม่ได้ถูกออกแบบมาเป็นหนังสงครามเต็มตัว ทำให้บทที่เหล่าหุ่นจะสู้กันจริงจังมีน้อยเกินไปเมื่อเทียบกับความคาดหวัง
ส่วนที่ดีที่สุดของหนังคงเป็นการพักและมีมุมมองใหม่ ๆ ในการเล่าเรื่อง Transformers บ้างหลังจากระห่ำกันมามากแล้ว แต่ก็เป็นข้อเสียในตัวเพราะหนังมีฉากแอ็กชั่นเบาบางลงไปมากจนแฟนเดิม ๆ หรือผู้ใหญ่ ๆ อาจจะรู้สึกว่าหนังหน่อมแน้มน่าเบื่อ ซึ่งในมุมของแฟนใหม่ ๆ รุ่นเยาว์หรือวัยรุ่นต้น ๆ ตลอดจนคนดูที่ชอบหนังสายครอบครัวสายมิตรภาพน่าจะหันมาเป็นแฟนของเจ้าบัมเบิ้ลบีได้ไม่ยากเย็นเช่นกัน เรียกว่าได้อย่างเสียอย่างแลกกันไปเลย
เสียงพากย์
และสำหรับพากย์ไทยนั้นขออนุญาตวัดความรู้สึกจากการดูหนังซับไทย แล้วมาเทียบกับตัวอย่างฉบับพากย์ไทยนี้ ก็คิดว่าเป็นการตีความอีกแบบของตัวละคร เพราะเฮลีย์จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นเด็กสาวที่ต้องเข้มแข็ง และมีความสู้ผ่านน้ำเสียงมากกว่า แม้ในยามอ่อนแอเราก็รู้สึกว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้นได้
ในขณะที่เสียงน้อง ปัญ BNK48 นั้นจะออกมาทางน่ารักน่าสงสารมากกว่า แต่ในแง่คุณภาพเสียงนี่ไม่ต่างจากที่มืออาชีพเขาพากย์ในหนังดิสนีย์เลยล่ะ คิดว่าน่าจะได้คนละอารมณ์ซึ่งก็ไม่อาจชี้วัดได้ว่าแบบไหนดีกว่ากันเพราะหนังก็มีฉากขายในทั้งสองแบบให้เล่นอยู่แล้วด้วย เชื่อว่า 2 เวอร์ชั่นนี้ต่างมีดีของตัวเองทั้งคู่ครับ
วิจาร์ณ
ว่ากันตามตรง Bumblebee ดูหนังนี่มันพล็อตที่เชยมาก กับการปรากฏตัวของเอเลี่ยนมาบนโลกมนุษย์ ได้พบกับเด็กสาว/ชาย คนหนึ่ง ทั้งสองก็ผูกพันกัน รักกัน เป็นเพื่อนกัน และก็มีเหล่ารัฐบาลมาตามล่าตัวด้วยเหตุผลต่างๆ ไอ้เรื่องราวแบบนี้เราเคยเห็นมันมาแล้วในหนังหลายเรื่อง เรียกได้ว่าพล็อตแบบนี้มันเหมือนสูตรสำเร็จของหนังแนวนี้เลย แต่ต้องขอชมว่า Travis Knight ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้สนุกเลยแหละ
Bumblebee เปิดเรื่องได้น่าประทับใจมากและเป็นสิ่งที่แฟนๆ หลายคนอาจจะรอคอยเลยก็ว่าได้ กับฉากสงครามแอ็คชั่นบนดาว Cybertron ที่เราได้เห็นหุ่น Transformers Generation 1 มากมายหลายตัวทั้งทางฝั่ง Decepticon หรือ Autobot นี่เข็นกันออกมาได้จัดเต็ม และทำให้นึกถึงการ์ตูนที่เคยดูสมัยเด็กเลยทีเดียว ไม่เพียงแต่ฉากแอ็คชั่นเปิดเรื่องดีเท่านั้น ฉากแอ็คชั่นทุกฉากในเรื่องนี้ถึงแม้มันจะน้อย แต่โปรแกรมหนังก็ทำออกมาได้ดีมากกว่าฉบับ Michael Bay เยอะมาก ไม่เพียงแต่มันดูรู้เรื่อง มันยังดูไหลลื่นอีกด้วย ถึงมีน้อยแต่ยอดเยี่ยมทุกฉาก
สิ่งที่ดี...
ก็คือตัวละครหลักอย่าง Bumblebee หนังให้ความสำคัญกับตัวละครมากๆ มากกว่าแฟรนไชส์ Transformers ที่ผ่านมาไหนๆ Bumblebee ในเรื่องนี้ได้รับบทตัวเอกอย่างเต็มตัว และได้พระเอกเสียงหล่ออย่าง Dylan O’Brien มาให้เสียงพากย์อีกด้วย (ถึงแม้จะน่าเสียดายและน่าหงุดหงิดก็ตาม ที่ให้เสียงพากย์ตัวละครแค่ไม่กี่นาทีเท่านั้น!!!)
เชื่อว่าหลายๆ คนที่ดูจบ อาจจะอยากได้ Bumblebee กลับไปเลี้ยงที่บ้านเลยก็ว่าได้ เพราะการกระทำต่างๆ ความไร้เดียงสา นิสัยใจคอ ความมุ้งมิ้ง น่ารัก น่าเอ็นดู แบบจัดเต็มโคตรๆ เหมือนนางเอกเก็บหมาเก็บแมวมาเลี้ยงยังไงยังงั้น บวกกับความน่ารักของน้อง Hailee Steinfeld ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของสองตัวละครดูมีมิติมากขึ้น (แน่นอนว่าเราจะไม่ได้เห็นการแหกปากโวยวายเรียกชื่อหุ่นตลอดทั้งเรื่องอย่าง Shia LeBeouf แน่นอน)
ซึ่งฉบับของ Michael Bay จะใช้ตัวละครหญิงเป็นเหมือน Sex Symbol มากกว่าจะมาใส่ใจตัวละครแบบในเรื่องนี้ แต่ถ้าจะให้ว่ากันตามตรงนางเอกก็ไม่ได้เล่นดีมากจนน่าชื่นชม แต่ก็ไม่ได้เล่นแย่จนรับไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีหน้าตาน่ารัก ความไร้เดียงสา กับบทที่ช่วยส่งให้เราเอาใจช่วยเธออยู่เล็กๆ เหมือนกัน
สิ่งที่ชอบ
ก็คือกิมมิคการคุยกันของ Bumblebee กับ Charlie Watson ที่มีการติดต่อสื่อสารกันผ่านวิทยุโดยใช้เสียงเพลงแทนคำพูดต่างๆ ของตัว Bumblebee เอง (ใช่แหละว่าเราเคยได้เห็นกันมาจากในแฟรนไชส์ Transformers ก่อนหน้านี้แล้ว กับการเอาคำจากวิทยุมาต่อเป็นคำพูด)
แต่เรื่องนี้ใช้เพลง ซึ่งมันยังสะท้อนให้เห็นถึงวัยรุ่นที่ชอบฟังเพลง และวัยรุ่นกับเสียงเพลงมักมาคู่กันเสมอ เสียงเพลงเหล่านั้นยังเป็นมุกฮาๆ เรียกเสียงหัวเราะได้หลายฉากเลยทีเดียว เพลงเหล่านั้นยังเป็นเพลงยุค 80s ที่คุ้นหู และเพราะเหมาะสมกับหนังสุดๆ
ด้วยความที่หนังไม่ได้มีฉากแอ็คชั่นจ๋า ทุกๆ 5 นาที และไม่ได้เล่นใหญ่เล่าเรื่องไกลตัว Bumblebee จึงเป็นหนังที่เข้าถึงง่าย และทำให้เรารู้สึกอบอุ่นกับความน่ารัก และเอาใจช่วยสองตัวละครไปจนจบทั้งเรื่อง หนังยังกลมกล่อม ด้วยมุกตลกต่างๆ ที่ล้วนใส่มาถูกจังหวะจะโคนเสียเหลือเกิน แต่มันก็ยังมีข้อที่น่าเสียดายอยู่บ้าง
นั่นก็คือการมีอยู่ของตัวละครชายผิวสี ที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเขามีความจำเป็นกับเรื่องราวในหนังเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งประเด็นเรื่องความสัมพันธ์กับพ่อเกี่ยวกับการแข่งขันว่ายน้ำ ที่มันไม่จำเป็นและไม่สามารถมีอิทธิพลมากพอที่จะทำให้เป็นจุดพีคได้ขนาดนั้น (แต่ก็ยังมีเรื่องที่น่าซึ้งอยู่เหมือนกันในประเด็นเดียวกัน)
และสุดท้ายที่สำคัญเลยอย่างที่บอกไปข้างต้นว่า หนังไม่ได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับเนื้อเรื่อง มันจึงจำเจและเชยไปหน่อย แต่ก็ยังดีที่มันทำออกมาได้สนุก และถ้ามันมีอะไรที่ดีกว่า ดราม่าที่เข้าถึงกว่านี้ เรื่องนี้จะเป็นหนังที่ดีมากๆ เลยทีเดียว
สรุป
Bumblebee เป็นหนังที่ดูได้สนุกเลยแหละ สำหรับคนไม่เคยดูภาคไหนมาก่อนหรือลืมก็สามารถไปดูได้ เพราะจะเป็นเรื่องราวก่อน Transformers ทุกภาค ตัวละครน่ารัก ฉากแอ็คชั่นไม่เยอะแต่ดี Bumblebee กับฉากเปิดเรื่องก็คุ้มแล้ววววววว
Comments