รีวิว A Dog’s Way Home - เพื่อนรักผจญภัยสี่ร้อยไมล์
หนังสำหรับคนรักหมาที่มั่นใจว่าถึงจะไม่ใช่คนเลี้ยงหมา แต่ถ้าดูเรื่องนี้ก็ต้องหัวใจละลายหลงไปกับความใสซื่อบริสุทธิ์ของเจ้าเบลล่า ดูจบแล้วอาจจะไปหาหมามาเลี้ยงซักตัวก็เป็นได้ a dog’s way home เป็นหนังเรื่องที่ 2 ที่สร้างจากบทประพันธ์ของ ดับเบิ้ลยู. บรู๊ซ คาเมรอน ต่อจาก A Dog’s Purpose เมื่อปี 2017 และกำลังจะมี A Dog’s Journey ออกฉายในเดือนพฤษภาคม ปีนี้ล่ะ รีวิว A Dog’s Way Home
เรื่องย่อ
เรื่องราวการเดินทางของหมากว่า 400 ไมล์ เพื่อกลับมาหาเจ้าของ ที่บังเอิญพลัดหลงกัน การผจญภัยของเพื่อนรักสี่ขา ผ่านบททดสอบมากมาย รักแท้ที่ไม่ยอมแพ้ระยะทาง
หนังเล่าเรื่องผ่านสายตาของหมาเพศเมียชื่อ “เบลล่า” เป็นหมาจรจัดที่คลอดอยู่ใต้ซากบ้านปรักหักพัง เทศบาลมาจับแม่และพี่น้องของมันไป เหลือเบลล่าอยู่กับครอบครัวแมวเหมียว จนกระทั่งลูคัสชายหนุ่มบ้านตรงข้ามมารับเบลล่าไปเลี้ยงดู แน่นอนครับว่าหนังแนวนี้ต้องมีตัวร้ายของเรื่องมารังแกหมา
ในเรื่องนี้มี “กันเตอร์” ชายหัวล้่านเจ้าของที่ดินบนซากปรักหักพังที่กำลังจะปลูกสร้างอาคาร แต่โดนลูคัสขัดขวางให้เพิกถอนใบอนุญาตเพราะยังมีแมวอีกหลายตัวอาศัยอยู่ใต้ซากบ้าน สร้างความขุ่นเคืองให้กับกันเตอร์ เขาก็เลยเอาคืนด้วยการร่วมมือกับ”ชัค”เจ้าหน้าที่เทศบาลให้มาจับเบลล่าไป
เพราะว่าเบลล่าเป็นหมาลูกผสมพิตบูล ตามกฏหมายของเมืองเดนเวอร์ พิตบูลเป็นหมาพันธู์อันตรายห้ามปล่อยออกมาภายนอกบ้าน ทำให้ลูคัสต้องเอาชัคไปฝากไว้กับญาติต่างเมืองที่ห่างออกไปถึง 640 กิโลเมตร ในระหว่างที่กำลังหาบ้านใหม่นอกเมืองเดนเวอร์ เพื่อที่เขาจะได้เลี้ยงดูเบลล่าอย่างสบายใจ แต่ระหว่างที่เบลล่าอยู่บ้านใหม่ก็หลบหนีออกมาแล้วเริ่มการผจญภัยกลับบ้านไปหาลูคัส
หนังไม่ยาวครับแค่ 1 ชั่วโมงครึ่ง แต่ด้วยความที่เป็นนิยายขายดี จากคนเขียนที่รักและเข้าถึงหัวใจสัตว์ได้อย่างจริงจัง และมาคุมงานสร้างด้วยตัวเอง ทำให้หนังเล่าเรื่องการเดินทางได้อย่างสนุกสนานน่าติดตาม เบลล่าได้เจออะไรตลอดการเดินทาง ทั้งคนใจร้าย คนใจดี เพื่อนใหม่มากมาย มีสถานการณ์คับขันให้ได้ลุ้นเนือง ๆ
แต่ตัวที่ทำหน้าที่สีสันของเรื่องได้เป็นอย่างดีคือลูกเสือคูการ์เพศเมีย ที่เบลล่าเรียกว่า “เจ้าลูกแมวใหญ่”ที่เบลล่าใช้สัญชาตญาณของหมาเพศเมียดูแลเจ้าลูกแมวใหญ่กำพร้าตัวนี้จนผูกพันกันเหนียวแน่น ในตัวอย่างหนังก็เผยภาพเจ้าเหมียวตัวใหญ่นี้มาหลายฉาก แต่ในหนังก็ยังมีฉากน่ารักระหว่างเบลล่ากับเหมียวใหญ่ที่ชวนให้ดูไปยิ้มไปอีกมาก แม้ว่าภาพของเหมียวใหญ่จะพอดูออกว่าเป็นภาพซีจี แต่ก็ถือว่าทำได้เนี้ยบมาก ดูแล้วไม่ขัดหูขัดตานัก
แม้ว่าบทลงเอยของหนังจะจบอย่างไรก็รู้กันอยู่ แต่กระนั้นฉากจบก็ทำได้ซาบซึ้งอย่างเชื่อมั่นได้ว่าคนที่เลี้ยงหมา หรือไม่ได้เลี้ยงแต่รักสัตว์เป็นทุนเดิมมีอันต้องบ่อน้ำตาแตกแน่นอน ความดีความชอบต้องยกให้ทีมงานทั้งหมด ตั้งแต่ผู้ประพันธ์ที่คุมเข้มหนังให้ออกมาตรงตามหนังสือของเขา ถึงขนาดว่าบรู๊ซ เลือกหมาที่จะมาเล่นเป็น “เบลล่า” ด้วยตัวเอง และจำเพาะเจาะจงว่าจะต้องเป็นหมาผสมพิตบูลตามหนังสือเท่านั้น
และจะต้องเป็นหมาจรจัดหรือหมาไร้เจ้าของ ทำเอาทีมงานต้องเสิร์ชหากันยกใหญ่ จนไปเจอ “เชลบี้” ที่ตรงตามสเป๊กของบรู๊ซเป๊ะ เพราะเชลบี้เป็นหมาที่อยู่ในการดูแลของสถานสงเคราะห์สัตว์ในเทนเนสซี ที่ผู้ดูแลเล่าว่ามันเป็นหมาจรจัดกำลังคุ้ยขยะหากินตอนที่เขาไปเอามันมาเลี้ยงในสถานสงเคราะห์ กลายเป็นว่าความเป็นมาของเชลบี้ก็น่าสนใจไม่แพ้ เบลล่าในหนังเลย
บรู๊ซบินไปดูเชลบี้ด้วยตัวเอง แล้วเอาผู้ฝึกสอนหมาไปด้วย เชลบี้ผ่านบททดสอบขั้นต้นก็เลยกลายสภาพจากหมาจรจัดกลายเป็นหมาดาราไปทันที เสร็จจากแสดงหนังเชลบี้ก็ไปอยู่กับครูผู้ฝึกสอนสัตว์และทำหน้าที่เป็นหมาสังคมสงเคราะห์คอยเยี่ยมให้กำลังใจเด็ก ๆ ที่มีปัญหาทางสภาพจิต คล้ายกับหน้าที่ที่เบลล่าทำในหนังเลย ไม่น่าเชื่อว่าจากอดีตหมาจรจัดจะมาเล่นหนังได้แนบเนียนขนาดนี้ แล้วใช้หมาแสตนด์อินไม่เยอะด้วย เบลล่าแสดงท่าทางตกใจ ดีใจ กลัว แบบเอาใจคนดูไปได้หมดเลย
เกร็ด
A Dog’s Way Home สร้างมาจากนวนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ W. Bruce Cameron (ที่เคยเขียนเรื่อง A Dog’s Purpose กินจนได้ทำเป็นหนังไปแล้ว) โดยเรื่องนี้ว่าด้วยเรื่องของหมาจรจัดเพศเมียนามว่า Bella ที่ครอบครัวและแม่ของมันโดนเทศบาลจับไป มันจึงถูกเลี้ยงดูโดยแม่แมว จนกระทั่งโชคชะตาพามันมาเจอกับ Lucas ทำให้ทั้งคู่ตกหลุมรักกันและใช้ชีวิตกันอย่างมีความสุขในระยะหนึ่ง แต่เรื่องราวมันกลับไม่สวยงามขนาดนั้น
เมื่อบ้านเมืองที่ทั้งสองอยู่ห้ามปล่อยหมาพันธุ์นี้ออกมานอกบ้าน จึงทำให้มันต้องเดินทางไปไกลบ้านอยู่กับญาติๆ ของ Lucas ที่ต้องห่างจากเขาถึง 400 ไมล์เลยทีเดียว แต่เรื่องมันก็ซับซ้อนเข้าไปอีก เมื่อ Bella หนีและเริ่มออกเดินทางกลับบ้านไปหาเจ้านายสุดที่รักของมัน เรื่องราวการผจญภัยจึงเริ่มต้นขึ้น!
หนังพล็อตเรื่องซ้ำๆ เกี่ยวกับความอบอุ่น การผจญภัย และความน่ารักของหมา ที่เราเห็นมาจากหนังหมาๆ หลายเรื่องแล้ว แต่หนังเรื่องนี้ยังถ่ายทอดเรื่องราวเหล่านั้นออกมาได้ดี อย่างน่ารักและน่าอบอุ่นเลยทีเดียว
หนังมีการดำเนินเรื่องที่ราบเรียบ เข้าใจง่าย เรียบง่ายมากๆ หนังถูกบอกเล่าด้วยตัวละคร Bella นั่นแหละ เป็นการพากย์เสียงลงไป โดยในตอนแรกเรารู้สึกขัดใจกับเสียงนิดหน่อย รู้สึกมันไม่เข้ากับตัวหมายังไงก็ไม่รู้ และโดยส่วนตัวมองเลยว่า “มันไม่จำเป็นต้องมีเสียงพากย์ก็ได้นะ” เพราะการแสดงทั้งหมดของเจ้าหมาตัวนี้มันทำได้ยอดเยี่ยมจริงๆ ถ่ายทอดอารมณ์ทุกอย่างออกมาได้ตรงมากๆ แต่พอดูไปเรื่อยๆ ก็ถึงบางอ้อ...อ๋อ เข้าใจละว่าทำไมถึงต้องพากย์เสียงลงไป เพราะมันจะช่วยให้เล่าเรื่องง่ายขึ้น เล่นมุกได้บ้าง และทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างไหลลื่น
พูดถึงเรื่องหมา นักแสดงนำนางเอกของเรื่องนี้ นอกจากจะน่ารักมากๆ แล้ว ยังเล่นดีมาก ดีแบบดีมากจริงๆ คือมันสามารถถ่ายทอดอารมณ์ออกมาทางการแสดงของมันได้หมดเลย เก่งโคตร เศร้า สุข ดีใจ เสียใจ มันเล่นได้เหมือนคนแสดงเลย (ถึงแม้บางฉากจะมีการใช้ CG เข้ามาช่วยก็ตาม) น่าปรบมือ และน่ายกย่องจริงๆ เมื่อได้รู้แบบนั้นแล้วจึงไปแอบค้นประวัติมานิดหน่อยว่า มันคือหมาจรจัดจริงๆ ที่ชื่อ Shelby คือทางผู้ทำหนังและคนเขียนเรื่องนี้อยากได้หมาจรจัดเพื่อนำมาฝึกจริงๆ
และอยากได้พันธุ์ผสมพิตบูล ไม่ก็ร็อตไวเลอร์ผสม แล้วก็ได้ไปป๊ะ กับเจ้า Shelby หมาพันธุ์ผสมพิตบูล ที่ทางศูนย์พักพิงสัตว์กำลังตามหาเจ้าของให้มันอยู่ สุดท้ายก็ได้ฝึกกันแค่ 3 เดือนเท่านั้น หนัง HDและบทพิสูจน์เราก็เห็นได้แล้วว่ามันยอดเยี่ยมแค่ไหน อย่างกับมันเกิดมาเพื่อเป็นดาราหมายังไงยังงั้น! ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเป็นหมาจรจัดมาก่อน (หน้าที่ของมันนอกจากเป็นดาราแล้ว มันยังเป็นหมาเยียวยา ตามบ้านพักคนชราหรือทหารผ่านศึก โดยจะช่วยให้พวกเขารู้สึกดีขึ้นอีกด้วย เรียกได้ว่าเก่งทั้งนอกจอและในจอเลยทีเดียว)
ถึงแม้เนื้อเรื่องจะเป็นเส้นตรงและคาดเดาง่าย เหมือนเราได้เดินตามเส้นทางการผจญภัยหาทางกลับบ้านของ Bella นั่นแหละ แต่เราก็ยังสนุก และรู้สึกเอ็นจอยไปกับมันตลอด 1 ชั่วโมงครึ่งได้ไม่ยากเลย เพราะกว่า 90% ของหนัง เราจะเห็นแต่เจ้า Bella เดินป่วนเปี้ยนเต็มจอไปหมดแน่นอน ใครเป็นทาสหมาก็คงจะฟินจิกเก้าอี้อย่างเต็มอิ่มแน่นอน
แต่การที่เราเห็นหมาตลอดทั้งเรื่องเนี่ย มันก็เป็นข้อเสียอย่างนึง เข้าใจแหละว่าหนังเรื่องนี้ขายหมา แต่ในใจตลอดทั้งเรื่องเราก็คิดและดูหนังผ่านเน็ตสงสัยอยู่ตลอดว่า “หลังจากรู้ว่าหมาหาย ทางฝั่งคนเป็นยังไง รู้สึกยังไงอะ” “กระวนกระวายใจแค่ไหน” “เศร้าใจหรือเปล่า” แต่เราก็ไม่ได้เห็นสถานการณ์ และเหตุการณ์เหล่านั้นเลยแม้แต่นิดเดียว นับว่าน่าเสียดายมากๆ ไม่งั้นหนังเรื่องนี้จะลงตัวมากกว่านี้
ความรู้สึก
ส่วนตัวรู้สึกว่า a dog’s way home เป็นหนังที่ปลอดพิษภัยให้ทั้งความบันเทิง และเหมาะที่จะพาลูกหลานไปดูเพื่อปลูกฝังความรักสัตว์ไว้ในจิตใจ หนังไม่มีภาพความรุนแรงให้เห็นเลย อย่างมากก็มีหมากัดกันให้ดู แต่สอดแทรกแนวคิดดี ๆ ที่เหมาะกับเด็กมากมาย ทั้งการทำดีกับเพื่อนร่วมโลก เบลล่าโตมาเพราะแม่แมวเลี้ยง ก็เลยรู้สึกติดหนี้บุญคุณแมว เบลล่าเข้าใจว่าลูกเสือคูการ์เป็นแมว ก็เลยรู้สึกว่าตัวเองควรทำหน้าที่แม่ดูแลเจ้าเหมียวใหญ่บ้าง
ตัวร้ายในเรื่องก็ร้ายในระดับหนังครอบครัวแค่เทา ๆ ไม่ถึงกับโฉดชั่วนัก ไม่มีคำหยาบหลุดมาให้ได้ยิน ฝ่ายดีก็ดีสุด ๆ ดีแบบขาวสะอาดมาก หน้าตาสวยหล่อจิตใจดีงามสุด ๆ มีดาราคุ้นหน้าแค่คนเดียวคือ แอชลีย์ จัดด์ นางเอกหนังสุดฮอตในช่วงปลายยุค 90s ที่เข้าวัย 50 แล้ว เลยต้องมารับทแม่ ส่วนดาราขายชื่อก็มี ไบรซ์ ดัลลัส โฮเวิร์ด ที่มารับหน้าที่พากย์เสียงเจ้าเบลล่า ยังดีที่ว่าพากย์แค่เบลล่าแค่ตัวเดียวนะเป็นการพากย์เสียงแทนความคิดความรู้สึกของเบลล่า หนังยังไม่หลุดโลกถึงขนาดหมาแมวคุยกัน
สิ่งที่ชอบ
อีกจุดที่ประทับใจคือเพลงในฉากจบของหนังที่นำเอา “everywhere” เพลงดังของวง fleetwood mac ปี 1987 ที่เอามาทำใหม่โดยนักร้องสาว ไอด้า เรดิก ที่ดนตรีทันสมัยแปลกหูกว่าเดิมมาก แต่เนื้อหายังคงเดิม ที่ชอบมากก็เพราะความหมายของเพลง ช่างลงตัวกับเนื้อหาของหนังที่เบลล่า พยายามทุกวิุถีทางที่จะกลับมาหาลูคัสให้ได้ ไม่ว่าหนทางจะห่างไกลเพียงใด
สรุป
สรุป A Dog’s Way Home เป็นหนังที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ดูแล้วคุณจะรักหมาที่บ้านมากกว่าเดิม ถ้าใครไม่มีหมา คุณอาจจะอยากไปหาหมาสักตัวมาเลี้ยงเป็นแน่แท้ หนังมีบทสรุปที่อบอุ่นหัวใจและเล่นเอาน้ำตาซึมได้เลย
ปล. เพลงประกอบเรื่องนี้เพราะมากกกกก เพราะจริงๆ และเข้ากับสถานการณ์ในหนังตอนนั้นเป๊ะๆ ช่วยส่งหนังสุดๆ
Comments