รีวิว Mister Due มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง
เรื่องย่อ หนัง Mister-Due หรือชื่อไทยว่า มิสเตอร์ดื้อ นักตื๊อเหรียญทอง เรื่องราวของเด็กหนุ่มที่คอยกันท่าน้าสาวสุดสวยไม่ให้ใครมาจีบ ตั้งแต่มัธยมยันวัยทำงาน จนหลินเข้ามาทำงานในโรงพยาบาล ที่นั่น ดื้อ จะต้องคอยรับมือกับคุณหมอ คนไข้ และหนุ่มสุดหล่อ ที่คอยเข้ามาจีบหลิน ภารกิจกันท่าสุดฮาจึงเกิดขึ้น เขาต้องคอยรับมือกับชายมากหน้าหลายตาที่คอยเข้ามาจีบน้าสาวตัวเอง แต่จะกันท่าไปได้อีกสักกี่น้ำต้องมาคอยดูกัน รีวิว Mister Due มิสเตอร์ดื้อ และ ดูหนังชัด
ผลงานจากค่าย รฤก ที่มีโต้โผใหญ่อย่าง ยอร์ช ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร์ ดูแล แม้ผลงานฝีมือของยอร์ชโดยตรงจะนานมาแล้ว แต่ผลงานของค่ายเองก็ยังไม่ห่างหายเลิกราจากวงการหนังไทย และยังผลิตหนังอารมณ์ดีออกมาสู่ตลาดสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะ แสบสนิทศิษย์ส่ายหน้า หรือ สุดเขตเสลดเป็ด และล่าสุดที่เพิ่งออกโรงไปไม่นานอย่าง ไบค์แมนศักรินทร์ตูดหมึกด้วย
ดูผลงานก็พอจับทางได้เลยว่า มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง หนังเรื่องล่าสุดจะมาแบบเอาฮาเน้นตัวละคร เน้นพลอต เน้นสถานการณ์มากขนาดไหน และคงเป็นแนวซิตคอมที่แฝงดราม่าเรื่องราวความสัมพันธ์ ผ่านคนแปลก ๆ อีกเช่นเคย
ซึ่งในครั้งนี้ คนแปลก ๆ ของเรื่องก็คือ ดื้อ (นน — ชานน สันตินธรกุล ) เด็กที่หวงน้าสาวอย่าง หลิน (เก้า — สุภัสสรา ธนชาต) เกินปกติมนุษย์ ในขณะที่ฝั่งคนที่มาจีบน้าก็ทะยานความแปลกได้สูสีกับดื้อสุด ๆ เพราะได้ดาราหน้าทะเล้นอย่าง พี่แมน (โจ๊ก โซคูล — กรภพ จันทร์เจริญ) มาติดหนึบเกาะแกะไม่เลิกทีเดียว และก็ไม่ใช่แค่พี่แมนเท่านั้นเพราะยังมีทั้งหมอหนุ่มสุดเพียบพร้อมที่น้าหลินแอบปลื้ม ตลอดจน เกม (บลู — พงศ์ทิวัตถ์ ตั้งวันเจริญ) เด็กหนุ่มรุ่นน้องที่มาติดใจน้าสาวของดื้อจนออกนอกหน้าเข้าไปอีก
งานนี้ยังเป็นผลงานกำกับของ เค — ไชยณรงค์ แต้มพงษ์ ผู้กำกับสายหวานที่เคยมีหนังอย่าง เลิฟ จุลินทรีย์ รักมันใหญ่มาก แต่ผลงานที่ผ่านตาทุกคนมากสุดคงเป็นการกำกับเอ็มวีเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย (Koisuru Fortune Cookie) ของวง BNK48 นั่นเอง
จากที่ดูหนังตลอดเรื่องสิ่งที่รู้สึกแรง ๆ และยิ่งรู้สึกมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็คือ หนังคิดมาบนโจทย์ที่เน้นใส่สถานการณ์ตลกให้มากที่สุด โครงเรื่องวางไว้แบบไม่ต้องซับซ้อนมาก การบิ้วการคลี่คลายเรียกว่าคิดไว้ล่วงหน้าเรียบร้อย แทบไม่สนใจการขับดันจากตัวละครหรือกราฟอารมณ์เลย หนังจึงออกมาแบบไม่สุดไม่อิ่มเท่าไร
ส่วนที่ชอบของหนัง คือ ความฮานั่นล่ะ ฉากฮาแบบฮาเกิ้นฮาหัวสั่นท้องคัดท้องแข็งมีแน่นอน แป้กมีมั้ยก็มีล่ะ ธรรมดาหนังตลก แต่อันที่ฮามันก็ฮาจริง ๆ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยสำคัญในความฮาทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถเฉพาะตัวของนักแสดงอย่าง โจ๊ก โซคูล และ รัศมีแข ฟ้าเกื้อล้น ล้วน ๆ ที่ฮาจากสถานการณ์แบบซิตคอมนั้นก็มีส่วน
แต่มันฮามากขึ้นเพราะสองคนนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับจริง ๆ การแสดงของนักแสดงต่าง ๆ ก็ต้องบอกว่าทำได้ไม่น่าเกลียด แม้บทจะไม่ได้ส่งไม่ได้ช่วยเลย แต่พวกเขาก็เอาตัวรอดในฉากที่ต้องชี้ขาดคะแนนให้ตัวเองได้ดี ไม่ว่าจะ นน เก้า ตลอดจนนักแสดงสมทบทั้งหลาย ฉากที่พีคทางอารมณ์จนเราพลิกผลให้ นน สอบผ่านเอาตัวรอดได้จากเรื่องนี้คือฉากที่สนามบินในช่วงท้ายของหนัง
ฉากนี้ฉากเดียวจริง ๆ ที่รู้สึกว่าตัวละครนี้มีชีวิต เพราะตลอดเรื่องมันเล่นอยู่มิติเดียวแบบไร้เหตุผลด้วยสิ ในขณะที่เก้าเองก็พยายามช่วยหนัง ใส่พลังจนล้านซีน จากหวังดีลายเป็นส่งผลเสียไปแทน แต่สิ่งที่ชดเชยให้เธอสอบผ่านสบาย ๆ คือเสน่ห์ที่ฉายแสงมาก ๆ ของเธอ
ส่วนที่ไม่ชอบเท่าไหร่ของหนัง มีตั้งแต่จังหวะการเล่นมุกตลกต่าง ๆ ที่เหมือนจับนักแสดงใส่ฉากเอาบทใส่ปาก ไม่ได้สนใจการปรับจูนเคมีนักแสดงให้เข้าขาพอดีกัน กลายเป็นต่างคนต่างเล่น ต่างคนต่างล้น จนคุมจังหวะไม่ได้ แล้วก็ต้องอาศัยฉากอินเสิร์ตมาปรับจังหวะช่วยเอา ซึ่งก็กลายเป็นว่าการตัดต่อไม่เป็นธรรมชาติดูขาด ๆ เกิน ๆ ไปหมดแทนด้วย ตรงนี้จึงเป็นจุดที่สงสารนักแสดงเก่ง ๆ หลายคนพอสมควร เพราะบทไม่ส่งไม่ช่วยไม่ว่า การกำกับการแสดงยังไม่ส่งเสริมอีก
ตรงนี้ยังสะท้อนไปเรื่องที่เกริ่นไปก่อนด้วยว่าหนังวางโครงไว้แบบไม่ได้สนใจว่าระหว่างทางหนังกระทำอะไรไปแล้วบ้าง ยังคงควรจบหรือพลิกแบบที่วางแผนไว้เดิมหรือไม่ เพราะมันไม่รอกราฟอารมณ์ใด ๆ เมื่อถึงเวลาตามบทมันก็จะเศร้าจะซึ้ง (โดยที่คนดูอาจยังไม่รู้สึก) ซ้ำไม่พอ เมื่อถึงเวลาสมควรมันก็หักอารมณ์เปลี่ยนความคิดตัวละครแบบไม่ต้องให้ที่มาที่ไปมากพออย่างที่ควรเป็น มันเลยเป็นโครงที่วางแบบคร่าวๆ
หัวใจของหนังจริง ๆ ก็กลับหัวกลับหางไปเป็นเรื่องฉากตลกมุกตลกทั้งหลายเสียแทน คือถ้าคุณมาเพื่อเสพความตลกขบขันไม่สนอีร้าค้าอีรมใด ๆ ในเนื้อเรื่อง มันตอบโจทย์คุณมาก แต่ถ้าคุณเป็นพวกหงุดหงิดง่ายกับความไม่สมเหตุสมผลของเนื้อเรื่อง การเล่าแบบขอไปที เล่าแบบอยากเล่าอะไรก็เล่า แล้วล่ะก็ ให้มันตลกบันเทิงยังไงคุณก็จะตะหงิดใจ คาใจไปตลอดเรื่องจนไม่เอ็นจอยเท่าที่ควร ที่สำคัญที่สุดที่เป็นจุดอ่อนของหนังในเรื่องนี้
ก็คือเรื่องแรงจูงใจเป้าหมายของพระเอกที่ไม่มีฐานอะไรเลย จนเราไม่เข้าใจพระเอก แม้ในตอนท้ายจะพยายามยัดสถานการณ์ให้เข้าตามพลอตแบบโคตรไม่เนียนมาช่วย กระนั้นเราก็ยังรู้สึกว่าไม่อาจอินไปกับความคิดของพระเอกได้เลย และที่หนักกว่านั้นคือความคิดอ่านของนางเอกในตอนจบของหนังนั่นล่ะ
มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง ว่าด้วยเรื่องราวของดื้อ (ชานน สันตินธรกุล) เด็กชายบ้านนอกซึ่งเป็นลูกชายของเคี้ยง (พลพล พลกองเส็ง) พ่อค้าร้านราดหน้าชื่อดังที่อยู่มาอย่างเก่าแก่ ทั้งสองอยู่ร่วมบ้านหลังเดียวกันกับน้าสาวอย่าง หลิน (เก้า สุภัสสรา ธนชาต) ด้วยความขี้หวงของดื้อที่เห็นว่าน้าสาวของตัวเองเป็นคนสวย เวลาชายหนุ่มคนไหนแวะเวียนมาขายขนมจีบ หน้าที่ของดื้อของต้องไปกันท่า จนสร้างเรื่องปวดหัวให้หลินอยู่เสมอ
เมื่อเข้าสู่วัยรุ่นดื้อได้ตัดสินใจหนีออกจากบ้านไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เพื่ออยากจะพิสูจน์ให้พ่อของเขาเห็นว่า เขาอยากจะทำมาหากินด้วยลำแข้งของตัวเองมากกว่าจะขายราดหน้าอยู่ต่างจังหวัด กว่าหลายปีที่ดื้อไม่ได้กลับบ้าน หลินที่เรียนจบพยาบาลมาได้ย้ายเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลที่กรุงเทพฯ ในสาขานักกายภาพบำบัด ซึ่งเธอกำลังปวดหัวกับแมน (โจ๊ก โซคูล) หนุ่มหน้าเห่ยที่กำลังไล่ตามจีบเธออย่างไม่ลดละ
ยังไม่รวมไปถึงบรรดาชายคนอื่นๆที่เร่มาขายขนมจีบ และเป็นความบังเอิญอีกเช่นกันที่ดื้อได้เจอกับหลินอีกครั้งในรอบหลายปี ทำให้ดื้อเริ่มออกปฏิบัติการกันท่า น้าสาวของตัวเองอีกครั้ง
อันที่จริงเมื่อลองอ่านระหว่างบรรทัดในส่วนของเรื่องย่อแล้ว หนังเรื่องนี้คือการพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์เชิงชู้สาวระหว่างน้าและหลานอยู่ในที การที่ดื้อมีพฤติกรรมหวงก้างหลิน นั่นก็เพราะเขาหลงรักน้าของตัวเอง เพียงแต่ในกรอบของหลักศีลธรรม จรรยาแล้วมันดูเป็นเรื่องที่ผิดบาปและขัดต่อขนบธรรมเนียมของวิญญูชนคนทั่วไป
สรุป
น่าเสียดายที่หนังตั้งโจทย์ของเรื่องออกมาท้าทายกับแนวคิดและวิถีชีวิตของผู้คนในสังคม แต่หนังก็ไม่ได้พาคนดูไปสำรวจถึงปมในจิตใจของตัวละครดื้อสักเท่าไหร่ หากแต่หนังมัวแต่สาละวนกับการขายมุกตลกสถานการณ์ที่ส่วนมากค่อนข้างฝืดเฝือและไม่ค่อยทำงานกับผู้ชมเท่าไหร่นัก (คนดูในโรงส่วนมากค่อนข้างเงียบกริบในหลายๆฉากที่หนังพยายามทำตัวตลกขบขัน)
อีกทั้งการเล่นตลกกับเรื่องหน้าที่และวิชาชีพของพยาบาล (ฉากเจ๊แอน ซึ่งรับบทโดยรัศมีแข กำลังแก้สถานการณ์ที่แมนกำลังโดนเครื่องกระตุ้นไฟฟ้าช็อต ก็ดูไม่ค่อยตลกสักเท่าไหร่ เมื่อมองในแง่การดูแลความปลอดภัยของผู้ป่วย) หรือฉากทานสลัด ที่ว่าด้วยเรื่องของ “ขน” โปรแกรมหนัง ที่ดูแล้วว่าน่าขนลุกชวนสะอิดสะเอียนและกลายเป็นภาพติดตาเสียเหลือเกิน
Comments