รีวิว Ip Man 4 : The Finale - ยิปมัน 4 เดอะไฟนอล
ปี 2008 ดอนนี่ เยน หรือเจิ้น จื่อตัน เริ่มรับบทบาทเป็นอาจารย์ยิปมัน ใน Ip Man ชื่อหนังที่ใคร ๆ ก็อ่านว่า ไอพี แมน หนังกำกับโดย วิลสัน ยิป ผู้กำกับคู่บุญที่ประสบความสำเร็จร่วมกันมาจาก SPL (2005) ถึงวันนี้ก็ 12 ปีแล้ว ที่ดอนนี่ เยน ได้สวมบทบาทเป็นอาจารย์ยิปมัน ถ้านับเวลาก็พอ ๆ กับช่วงเวลาที่โรเบิร์ต ดาวนีย์ จูเนียร์ ได้สวมเกราะ Iron Man นั่นล่ะ ก็นับว่าสมควรแก่เวลา แม้ว่าภาพลักษณ์ของ ดอนนี่ เยน ยังดูฟิตเปรี๊ยะ แต่อายุแกก็ปาไป 57 ปีแล้วนะ รีวิว Ip Man 4 : The Finale
เรื่องย่อ
เรื่องราวของปรมาจารย์ชื่อดัง ยิปมัน ในภาคนี้คือการที่เขาได้พบกับศิษย์เอก บรูซ ลี และฝึกสอนจนมีชื่อเสียงระดับโลก แต่ไม่นานเขาก็เริ่มป่วยระยะสุดท้าย จึงอยากเผยแพร่วิชาที่เขาได้ร่ำเรียนมาไปสู่อเมริกาเพื่อหาโรงเรียนและหาอนาคตใหม่ให้กับลูกชาย แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นเพราะเขาต้องเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่อเมริกา
หนังเว้นช่วงห่างจาก Ip Man 3 (2015) ถึง 4 ปี จนแฟน ๆ ต่างคิดว่าปิดฉากอาจารย์ยิปมันไปแบบไตรภาคแล้ว เพราะเนื้อหาเริ่มออกทะเลแล้ว ขนาดเอาไมค์ ไทสัน มาใส่เป็นตัวร้ายในภาค 3 แต่เมื่อผู้สร้างออกข่าวว่าจะมีภาค 4 ออกมาในชื่อว่า Finale ก็เท่ากับประกาศอย่างเป็นทางการว่านี่คือภาคสุดท้ายจริงแท้แน่นอน ก่อนดูก็คิดว่าจะเอาอะไรมาเล่าอีกนะในภาคนี้
แต่แค่ผ่านไปครึ่งชั่วโมงแรก ก็นึกชื่นชมกับบทภาพยนตร์ของภาคนี้ ที่เลือกเปิดฉากแบบดราม่าเข้มข้น หนังเล่าเรื่องราวในบั้นปลายชีวิตของอาจารย์ยิปมันที่กลายเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยว ต้องดูแลจิน ลูกชายเพียงลำพัง นับว่าเป็นภาระที่ยิปมันเป็นกังวลอยู่เรื่องเดียว เพราะกิจการโรงเรียนสอนมวย ก็มีลูกศิษย์รุ่นเก่ารับช่วงงานสอนไป ยิปมันอยากส่งเสียลูกให้เรียนจบก่อนที่ตัวเองจะเป็นอะไรไป เพราะตรวจพบว่าเป็นมะเร็งที่คอขั้นรุนแรง แต่ความต้องการของจินกลับสวนทางกับยิปมัน เพราะเขารักที่จะเป็นครูฝึกมวยอย่างพ่อ แต่พ่ออยากให้ลูกเรียนจบมีการศึกษา
พอดีกับ บรู๊ซ ลี ศิษย์เอกที่เริ่มมีชื่อเสียงในอเมริกาส่งตั๋วเครื่องบินเชิญอาจารย์ยิปมันไปชมเขาแข่งขันคาราเต้รอบชิงชนะเลิศที่แคลิฟอร์เนีย ยิปมันเลยถือโอกาสนี้ไปติดต่อโรงเรียนที่นั่น เพื่อจะส่งให้ลูกชายเรียนจบเมืองนอกเมืองนากับเขาบ้าง กลายเป็นว่าการเดินทางครั้งนี้ ยิปมันต้องเจอปัญหาวุ่นวายมากมาย ได้เข้าไปร่วมกอบกู้ศักดิ์ศรีของบรรดาครูมวยจีนในไชนาทาวน์ ที่โดนกดขี่ข่มเหงจากเหล่าทหารอเมริกัน ที่เหยียดหยามวิชามวยจีน หลังจากลูกศิษย์ของบรู๊ซ ลี ที่เป็นพลทหารอเมริกันพยายามผลักดันให้วิชามวยหย่งชุนได้บรรจุเป็นทางการในวิชาการต่อสู้ของทหารบก
ภาคนี้นับว่าเป็นภาคที่มีสัดส่วนทางด้านดราม่ามากขึ้น ตั้งแต่ปัญหาไม่เข้าใจกันระหว่างยิปมันกับลูกชาย และประธานหว่าน จงหัว ที่อยากให้โยนาห์ ลูกสาวรับถ่ายทอดวิชามวยจีนต่อจากตน แต่โยนาห์อยากเต้นเชียร์ลีดเดอร์ และปัญหาใหญ่คือการที่อาจารย์ยิปมันไม่ได้รับการต้อนรับจากบรรดาครูฝึกมวยในไชนาทาวน์
เหตุเพราะยิปมันเห็นชอบที่ บรู๊ซ ลี ศิษย์ของตนนำวิชามวยจีนไปเขียนตำราเป็นภาษาอังกฤษ และถ่ายทอดให้กับชาวอเมริกัน ซึ่งบรรดาครูมวยคิดว่าวิทยายุทธจีนควรที่จะถ่ายทอดให้กับลูกหลานชาวจีนเท่านั้น แต่ด้วยเส้นเรื่องดราม่าก็นำพาไปหาฉากประมือได้อย่างลงตัว ไม่ดูเหมือนพยายามยัดเยียดฉากต่อสู้ลงไปในหนังดราม่า ที่ชอบมาก ๆ อีกอย่างว่า แม้หนังจะปูดราม่าพ่อลูกมาตั้งแต่ต้นเรื่อง แต่สุดท้ายพอถึงจุดพีกหนังก็ไม่ได้นำเสนอออกมาเป็นฉากดราม่าขยี้อารมณ์คนดู เป็นแค่การบอกเล่าผ่าน ๆ แค่นั้นพอ
หนังมีความยาว 1 ชั่วโมง 45 นาที มีฉากต่อสู้แค่ 5 ครั้งเท่านั้น แต่เป็น 5 ฉากที่คุณภาพอัดแน่น เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวที่ลากยาวทุกฉาก รุนแรง หนักหน่วง ซึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับ หยวน วูปิง อีกครั้งปรมาจารย์ทางด้านนี้จริง ๆ ที่ไปร่วมงานเรื่องไหน เราก็ได้ชมผลงานสร้างสรรค์ฉากต่อสู้ที่สนุกตื่นตาทุกเรื่องไป ปีนี้หยวน วูปิง 75 ปีแล้ว
แต่ฝีมือไม่แก่ตามอายุเล้ย รอบนี้เราก็ได้เห็นทั้งฉากต่อสู้ด้วยมือเปล่า และทั้งใช้อาวุธ ที่ชอบมาก ๆ คือการเลือกให้คู่ต่อสู้รอบนี้เป็นปรมาจารย์คาราเต้ เราก็เลยได้เห็นวิชามวยจีนปะทะคาราเต้จากญี่ปุ่น แล้วไม่ใช่มีแต่มวยหย่งชุนเท่านั้น แต่ยังมีมวยตั๊กแตน มวยกระเรียน มวยไทเก๊ก ดูหนังฟรีแล้วใส่ความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด มวยจีนจะพลิ้วไหว นุ่มนวล ว่องไว ส่วนคาราเต้เน้นเตะต่อยเป็นหลัก และจับทุ่ม แม้ช้ากว่าแต่รุนแรงกว่า ไม่ปล่อยหมัดเยอะ แต่ถ้าโดนไม่กี่ครั้งก็ร่วง นับเป็นคู่ต่อสู้ที่มีพิษสงจนอดเป็นห่วงยิปมันไม่ได้ แม้จะรู้ว่าอย่างไรพระเอกก็ต้องชนะอยู่แล้ว
ภาคนี้ได้สก็อตต์ แอดคินส์ พระเอกนักบู๊ในแวดวงหนังฮอลลีวูดเกรด B มารับบทเป็น บาร์ตัน เกดส์ นายทหารที่เป็นผู้ฝึกสอนคาราเต้ประจำกองทัพ เป็นตัวละครที่วางตัวมาให้ร้ายตั้งแต่วินาทีแรกที่ปรากฏตัว เป็นตัวละครที่แบนราบสุด มีมิติเดียวคือกูไม่ชอบคนจีน ไม่เอามวยจีน จะปราบมันให้หมด แต่ถ้าไม่มองในเรื่องแบกกราวนด์
ก็นับว่า บาร์ตัน เกดส์ เป็นตัวร้ายที่เก่งทำให้หนังภาคนี้ดุเดือดมากขึ้น และด้วยภาพลักษณ์บ้าดีเดือดของ บาร์ตัน ก็ทำให้ฉากต่อสู้ดูสมจริง โดนแต่ละหมัดแล้วรู้สึกรุนแรง เจ็บจริง แล้วที่ชอบคือหนังไม่ได้วางบทบาทให้ยิปมันเป็นเทพเกินไปนัก มีพลาดท่าโดนทั้งต่อยทั้งเตะแบบหนักหน่วง และใครที่ชื่นชอบท่ารัวหมัดของมวยหย่งชุน ไม่ผิดหวังครับ ได้ดูฉากรัวหมัดอย่างสะใจ และใช้เป็นท่าไม้ตายเท่านั้นไม่ใช่พร่ำเพรื่อ ฉากที่ประทับใจมาก คือฉากที่อาจารย์ยิปมันกระโดดขึ้นไปประลองกับครูฝึกคาราเต้ ยิปมันเปิดตัวแบบวีรบุรุษผู้ปกป้อง แบบว่า…โคตรเท่ ถ้าดูที่บ้านนี่ต้องตบมือ เป่าปากปรี๊ดกันเลย
ตัวละครใหม่
ตัวละครที่เพิ่มมาใหม่แล้วมีสีสันอย่างมากในภาคนี้คือ บรู๊ซ ลี ได้ เฉิน กั๋วคุน เด็กปั้นของโจว ซิงฉือ มารับบท ด้วยภาพลักษณ์ที่เหมือนบรู๊ซ ลี มาก ทำให้เขาเคยได้รับบทเป็นบรู๊ซ ลี มาแล้วใน The Legend of Bruce Lee ทีวีซีรีส์ปี 2008 การที่เพิ่มบรู๊ซ ลี มาในภาคนี้ แล้วค่อนข้างส่งให้มีฉากขาย ได้โชว์ฉากต่อสู้แบบจัดเต็มก็ดูออกเลยว่า เราได้ดูการสานต่อตำนานยิปมันแน่นอน แต่เป็นเรื่องราวของ บรู๊ซ ลี ที่รับบทโดย เฉิน กั๋วคุน เนี่ยล่ะ อีกรายที่นับว่าเป็นสีสันอย่างมากคือ แวนดา ลี สาวน้อยวัย 16 ลูกครึ่ง จีน-เยอรมัน ในบท โยนาห์ ลูกสาวของ ประธานหว่าน จงหัว หน้าตาน้องจิ้มลิ้มมาก เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงคนเดียวในเรื่องนี้เลยที่มีบทเด่น ไม่งั้นในเรื่องจะมีแต่ผู้ชายเต็มจอไปหมด
ผมไม่แน่ใจว่าหนังจะมีฉายในระบบเสียงซาวนด์แทร็กด้วยหรือไม่ เพราะรอบสื่อนั้นได้ดูแบบพากย์ไทยโดยพันธมิตร รอบนี้ถือว่าไม่ยัดเยียดมุกจนเกินงาม แต่ก็ยังพากย์แถมพากย์เกินตามเอกลักษณ์อยู่ดีล่ะนะ อย่าลืมว่านักแสดงขาประจำของแฟรนไชส์ Ip Man ก็คือเคนต์ เจิ้ง ดาราจีนที่ใบหน้าละม้ายกับบิ๊กป้อม ซึ่งทีเด็ดแบบนี้พันธมิตรไม่ปล่อยให้พลาดอยู่แล้ว
ทุกครั้งที่เคนต์โผล่หน้ามา พันธมิตรก็ต้องสอดแทรกมุกแซวบิ๊กป้อมทุกครั้งไป แล้วก็เป็นมุกเดียวที่ได้เสียงหัวเราะดันลั่นโรง ก็นับว่านี่คือข้อดีของการได้ดูในเวอร์ชันเสียงพากย์ไทย แต่หนังออนไลน์ข้อเสียของเวอร์ชันพากย์ไทยโดยเฉพาะหนังที่มีบทสนทนา 2 ภาษาขึ้นไป อย่างในภาคนี้หนังดำเนินเรื่องในแคลิฟอร์เนีย มีตัวละครเป็นชาวอเมริกันเยอะมาก
ทำให้หนังต้องมีบทพูดทั้งอังกฤษ และจีน หลาย ๆ ตอนตัวละครก็คุยภาษาอังกฤษกันเจตนาเพื่อไม่ให้ยิปมันฟังเข้าใจ แต่พอเป็นหนังพากย์ไทย ตัวละครทุกตัวก็ถูกใส่เสียงไทย ทำให้เราไม่รู้ว่าตอนไหนที่ตัวละครคุยจีนหรืออังกฤษกัน ก็นับว่ามีผลต่อเนื้อหาและอารมณ์หนังพอควรล่ะครับ ฝากไว้เป็นข้อพิจารณาในการเลือกชมแล้วกันนะ สุดท้ายก็ฝากย้ำไว้ว่า จะเคยดูหรือไม่เคยดู Ip Man มาก่อนก็ตามดูแค่ภาคนี้ก็เข้าใจ ไม่ควรพลาดครับ
สรุป
มันคือภาคจบที่ถ้าคนที่ติดตามมาตลอดก็คงต้องไปดูแหละ มันก็ยังคงสนุก เรื่อยๆ ดูได้เพลินๆ และฉากต่อสู้มันก็ยังคงความบันเทิงอยู่ แต่อย่างที่บอกมันแค่ไม่พีคเหมือนภาคก่อนๆ แล้ว รวมถึง Finale Fight ที่รู้สึกไม่ได้กินใจ ประทับใจ หรือว้าวอะไรเท่าไหร่เลย รวมถึงประเด็นดราม่าแต่ละอย่างในหนังมันธรรมดามากๆ เพลเซฟเกินไปจริงๆ ไม่ได้เอามาขยี้เรียกน้ำตา เหมือนแค่อยากบอกให้คนดูรู้เฉยๆ เท่านั้น ฉากที่เรารู้สึกเอ็นจอยและสนุกกับมันที่สุดในภาคนี้คงเป็นฉากต่อสู้ของบรูซลีนั่นแหละ
Comments